Wednesday, March 11, 2009

เส้นแบ่ง..ระหว่าง..ถูก..กับ…ผิด.!!!

เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ตอนเที่ยง ฟ้าเริ่มมืดเมื่อเราออกจากตัวเมืองนครสวรรค์..หลังทานข้าวมื้อเย็น …นั่งรถฝ่าความมืดมาถึงหมู่บ้านประมาณตีหนึ่งของวันรุ่งขึ้น บางคนในคณะที่ไปด้วยกันก็เข้านอน..พักเอาแรง…

ผมพร้อมกับอีกบางคนซึ่งนอนมาในรถพอสมควรแล้วก็เลยนั่งผิงไฟกินกาแฟและคุยกันจนกระทั่งเช้า เมื่อฟ้าเริ่มสว่างขึ้นได้มามองเห็นสภาพบ้านเรือนโดยทั่วไปของหมู่บ้านแม่ทา เป็นหมู่บ้านชาวปาเกอะญอ มีชาวบ้านอยู่อาศัยประมาณ ๑๕๐ หลังคาเรือน ส่วนชื่อหมู่บ้านนั้นตั้งตามชื่อลำน้ำทาที่ไหลผ่าน เท่าที่ถามดูคร่าวๆ ก็ ทราบว่าได้มีการตั้งบ้านเรือนมาไม่น้อยกว่า ๗๐ ปี

หลังจากนั่งคุยกันอยู่ที่ที่พักจนตกตอนบ่าย หลานๆ และน้องชวนไปเที่ยวบ้านขุนแม่ทา คำว่าขุนน่าจะหมายถึงต้นน้ำ ดังนั้นบ้านขุนแม่ทา หมายถึงหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ที่ต้นน้ำแม่ทานั่นเอง

การเดินทางไปยังหมู่บ้านดังกล่าวมีวิธีเดียวคือการขับรถลงไปตามลำน้ำแม่ทา ซึ่งหน้านี้มีน้ำไม่มากนัก ระยะทางอยู่ในราว ๑๐ กิโลเมตร ดังนั้นจึงไม่กล้าคิดเลยว่าในหน้าน้ำมากๆ ชาวบ้านจะเดินทางกันอย่างไร บ้านขุนแม่ทา มีบ้านเรือนอยู่ ประมาณ ๓๐ หลังคา ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าปาเกอะญอ เช่นเดียวกัน

ขณะขับรถขึ้นไปสองฝั่งลำน้ำมีสภาพเป็นไร่ นา สลับกับป่าไม้ หลานชายเล่าให้ฟังว่า “ชาวบ้านที่นี่พยายามรักษาต้นไม้ไว้ โดยเฉพาะบริเวณต้นน้ำหรือขุนน้ำ บ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่ราชการเข้ามาตัดไม้โดยผิดกฎหมาย ก็จะถูกชาวบ้านล้อมจับ และแจ้งไปทางอำเภอให้มารับตัวไปอีกทอดหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน เวลาที่ชาวบ้านในหมู่บ้านไปตัดไม้มาทำบ้านเรือน ก็จะถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุมเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงที่กำลังชักลากจากป่าเข้ามาในหมู่บ้าน” “ก็ดูมีการถ่วงดุลย์กันดีนะ” ผมเปรยขึ้นมาบ้างด้วยอคติเข้าข้างชาวบ้านที่มักจะซ่อนไว้ไม่มิด

หลายชายคนที่ขับรถและเล่าเรื่องนี้ คือคนที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ในวันพรุ่งนี้กับเจ้าสาวชาวปาเกอะญอ “เรือนหอผม ก็จ่ายค้าจ้างเลื่อยไม้ และจ้างลากไม้และค่าสร้างบ้านรวมๆ แล้วตกสองแสนบาท” เขาเล่าอีก แต่ผมคะเนดูด้วยตาเบื้องต้นแล้วถ้าเป็นบ้านที่เราสร้างในเมืองก็ตกไม่ต่ำกว่า สอง-สามล้านบาทขึ้นไป แม้จะไม่เห็นด้วยกับการสร้างบ้านของเขานัก เพราะรู้สึกว่าจะเป็นการใช้ไม้มากเกินความจำเป็น แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

บ้านของชาวบ้านที่นี่ โดยทั่วๆ ไปเป็นทั้งบ้านและร้านขายไม้ คือเป็นบ้านที่เขาใช้พักอาศัยและทำกิจกรรมอื่นๆ เหมือนกับบ้านของเราๆ ท่านๆ โดยทั่วไป แต่ตัวบ้านของเขามีหน้าที่อีกอย่างคือฝาและพื้นบ้านใช้เป็นที่เก็บไม้สำหรับขายไปในตัว โดยเขาจะกั้นฝาและพื้นในลักษณะชั่วคราว เพื่อความพร้อมที่จะงัดออกมาขายหากต้องการใช้เงิน ในราคาตกแผ่นละ ๑๕๐ บาท และหลังจากนั้นก็กลับเข้าป่าไปเลื่อยไม้แผ่นจำนวนเท่าเดิมมาทดแทนไว้ดังเดิม ภายในเวลาไม่เกินสองสัปดาห์ พูดตรงๆ ก็คือชาวบ้านที่นี้มีอาชีพรับจ้างและเลื่อยไม้ขาย

บ้านของชาวบ้านโดยทั่วไปจะสร้างโดยไม้สักทั้งหลัง หรือไม่ก็ใช้ไม้สักเป็นเสา พื้นและไม้เครื่องแล้วกั้นด้วยไม้ไผ่สานเป็นฟาก ส่วนไม้แดง หรือไม้ที่เราเห็นเป็นไม้มีค่าอื่นๆ เช่นไม้ตะเคียนทอง เขาใช้ทำฟืนกัน แต่ก็นับว่ายังดีกว่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่ผมมาร่อนเร่อยู่แถวนี้ ซึ่งจำได้ว่าเขาใช้ไม้สักมาทำฟืนกัน ตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวปาเกอะญอแล้ว ไม้ทุกต้นมีเจ้าของ การเป็นเจ้าของนี้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในชุมชน แม้จะอยู่ในแปลงที่รัฐถือว่าเป็นที่ “ป่าสงวน” ก็ตามที ชาวบ้านที่นี่ก็เหมือนชาวเขาเผ่าอื่นๆ นอกจากมีการทำนาข้าวและปลูกกระเทียมซึ่งทำอย่างถาวรแล้วก็มีการทำไร่หมุนเวียน คือแต่ละครอบครัวจะมีที่จำนวน สี่-ห้าแปลงและทำไร่หมุนเวียนกันไปแปลงละหนึ่งปี จนครบปีที่สี่ ที่ ห้า ก็จะวนกลับมาสู่ที่เดิม นัยว่าจะเป็นการให้ที่ดินได้พักสาม สี่ ปี โดยถางและเผาต้นไม้ที่งอกขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นปุ๋ยให้ต้นพืชที่ปลูกต่อไป

ดูไปแล้วทัศนคติและความเชื่อหลายอย่างดูแปลกแปร่งสำหรับ คนในเมืองเช่นเราท่านทั้งหลาย ซึ่งนั่นก็ต้องนับรวมบรรดาท่านที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ต้องรักษากฎหมายด้วย ความแตกต่างทางความคิด และความเชื่อเหล่านี้ นำไปสู่ความแปลกแยกและใช้กำลังจับกุมดังที่หลานได้กล่าวไปตอนต้น ดีที่ทั้งสองฝ่ายใช้กำลัง โดยที่อิงอยู่กับกฎหมาย โดยเฉพาะฝ่ายชาวบ้าน มิฉะนั้นก็อาจจะมีข้อหาการกระทำผิดอื่นๆ ตามมาอีกแน่นอน

“ดีนะ ที่ที่นี่เป็นชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่ใช่ชายแดนสามจังหวัดภาคใต้ มิฉะนั้น ปัญหาคงจะไม่สามารถจบลงแบบง่ายๆ อย่างที่เป็นอยู่ก็ได้” ผมกล่าวขึ้นเบาๆ และอดที่จะคิดและกังวลใจอยู่เงียบๆไม่ได้ เพราะถ้าจะว่าไปแล้วความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก คงเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นกระมังที่แตกต่างกัน และที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาอย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้น

จากตัวอย่างเรื่องที่กล่าวมา ฝ่ายรัฐหรือแม้แต่เราเองมองว่าชาวบ้านกำลังใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่า และทำลายต้นน้ำของแม่น้ำสำคัญๆ ในประเทศนี้ ขณะที่ชาวบ้านก็มองว่าเขาอยู่ที่นี่ ดำเนินวิถีชีวิตแบบนี้มานับหลายชั่วอายุคน เจ้าหน้าที่ของเราต่างหากที่เข้าไปพยายามเปลี่ยนแปลงเขาโดยที่เขาไม่ยินยอม โดยที่เจ้าหน้าที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายอยู่ในมือ

พวกชาวบ้านเขาจึงสรุปว่าเจ้าหน้าที่ต่างหากที่ข่มเหงรังแกเขา อีกทั้งเจ้าหน้าที่หลายส่วนที่ทำผิดกฎหมายเสียเอง โดยที่เข้าไปตัดไม้เพื่อการค้าอย่างผิดกฎหมาย ความคิดและความเชื่อเหล่านี้ดูไปก็เหมือน

“เส้นขนานที่ยากจะหาจุดที่จะมาบรรจบกันได้อย่างลงตัว”

เมื่อขับรถไปถึงบ้านขุนแม่ทา หลังจากทักทายชาวบ้านที่รู้จักแล้ว หลานชายก็พาเราไปดูโรงเรียน ซึ่งมีป้ายบอกว่าเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน มีครูเพียงคนเดียวซึ่งต้องสอนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปด้วย ดูๆ ไปก็คล้ายกับหมู่บ้านในพื้นราบ ที่เป็นไปในลักษณะนี้เมื่อประมาณ ๔๐ –๕๐ ปีก่อน

ตอนขับรถขากลับลงมาตามทางเดิม ที่จริงน่าจะพูดว่าตามทางน้ำสายเดิมมากกว่า เราสวนกับชาวปาเกอะญอชายหญิงคู่หนึ่งอายุราวๆ ๒๔-๒๕ ปี อุ้มลูกน้อยอายุราวขวบกว่าเดินสวนขึ้นมา “

ลูกเขาไม่สบาย เขาพาลูกไปหาหมอที่ตลาดแม่ลาน้อย ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพิ่งกลับ” หลานชายเล่าเบาๆ “เขาต้องเดินจากจุดนี้ไปอีกครึ่งวัน จึงจะถึงบ้านเขา” หลานชายเล่าต่อ

“อ้าวแล้วเมื่อคืนเขาพักที่ไหนละ” ผมถามอย่างงงๆ “ก็คงพักกับญาติในหมู่บ้านห้วยแม่ทามั๊ง” หลานชายตอบแบบไม่มีอารมณ์อะไร ขณะที่สำหรับผมเมื่อเจอเรื่องพวกนี้ก็อดคิดถึงความไม่ยุติธรรม ในการรับบริการจากรัฐของคนยากคนจนไม่ได้สักที อารมณ์นี้นี่เองที่ทำให้ตัวเองต้องลำบากใจ บ่อยครั้ง

“อ้อ เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านขุนแม่ทา หรอกเหรอ” ผมถามขัดขึ้น อย่างแสดงความสนใจ
“บ้านเขาอยู่ลึกเข้าไปในป่า เ ลยบ้านขุนแม่ทาเข้าไปอีก” หลานชายขยายความเมื่อเห็นว่าเราอยากรู้

แวบหนึ่งของความรู้สึก อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงพวกเขาสามคนแม่ลูกที่สวนกันเมื่อสักครู่ เพราะตามมาตรฐานของเราแล้ว ชีวิตของเขาดูน่ารันทดในสายตาเราค่อนข้างมาก แต่ถ้ามาคิดให้ดี เขาเองก็อาจคิดรันทดต่อชีวิตของเราอยู่เช่นเดียวกันก็เป็นไปได้ ที่ต้องอยู่กับความจอมปลอมต่างๆ เพื่อแลกกับความสะดวกสบาย หรือถ้าพูดให้ตรงที่สุดคือ ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ตัวตนของตนเอง ขอเพียงได้เป็นทาสของความทันสมัยและเทคโนโลยีที่ต้องซื้อหามาด้วยราคาแสนแพง

ผมนั่งคิดอะไรคนเดียวเงียบๆ มาจน ใกล้ถึงหมู่บ้านแม่ทาราวๆ ๑-๒ กิโลเมตร จึงเอ่ยบอกหลานขึ้นว่า “เดี๋ยวจอดส่งอาว์ที่นี่แหละ อาว์จะเดินเล่นสักพัก และเดี๋ยวจะเดินเข้าไปในหมู่บ้านเอง” ผมบอกหลานชาย แต่จุดประสงค์ที่แท้ก็คือ ต้องการลงเดินก็เพราะเห็นมีก้อนหินสวยเรียงรายอยู่ในลำน้ำแม่ทาที่กำลังไหลเอื่อยริน จึงอยากเก็บเพื่อไปฝากเพื่อนคนหนึ่งที่รู้ว่าเธอชอบสะสมหินสวยๆ แวบแรกก็ไม่มั่นใจว่าเราจะเก็บก้อนหินไปฝากได้สวยถูกใจเธอหรือเปล่า แต่หลังจากเริ่มเลือกเก็บก้อนหินอยู่สักพักหนึ่ง ก็พบว่าตนเองเกิดความสุขสงบอย่างประหลาด เป็นความรู้สึกที่ยากจะเกิดขึ้นได้ในท่ามกลางความเร่งรีบของเมืองใหญ่ คิดแล้วก็รู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนั้น ที่แนะนำให้เราได้มาพบแง่มุมของความสงบเช่นนี้

จากการทบทวนเรื่องที่ผ่านเข้ามาในความคิดคำนึงในช่วงสองสามวันนี้ หรือว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเราทุกๆ คนก็กำลังใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อจุดมุ่งหมายส่วนตัวอยู่ด้วยกันโดยถ้วนทั่ว……จะต่างกันก็แต่ที่แต่ละคนก็มีเหตุผลและวัตถุประสงค์ในการใช้ของตนเอง อาจจะไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน หากแต่เราแต่ละคนเคยหยุดคิดบ้างสักนิดไหมว่า เหตุผลของผู้อื่นที่กำลังทำในสิ่งที่แตกต่างและเราไม่เห็นด้วย จริงๆ นั้นคืออะไร และเขาทำเพราะอะไร ในขณะเดียวกันเราเองมีบ้างไหมที่กำลังทำสิ่งที่อยู่ในลักษณะที่แทบจะนับได้ว่าเป็นการกระทำในระนาบเดียวกันกับการกระทำของผู้อื่นที่เรากำลังประนามเขาอยู่

เพราะหากทุกคนทำได้ดังนั้นผมคิดว่า โลกเรานี้คงจะสงบและน่าอยู่ขึ้นอีกมาก…..

หรือท่านละครับ…ว่าอย่างไร..กันบ้าง..เอ่ย..!!!
.

………….


No comments:

Post a Comment