ผู้ร่วม…”ชะตากรรม”..!!!
หลังจากน้องที่อยู่เวรกะดึกที่บริษัทฯ โทรฯมาแจ้งว่าพนักงานหญิงที่บริษัทฯถูกรถกระบะชนเสียชีวิตขณะเดินข้ามถนนบางนาตราด เพื่อเตรียมรอขึ้นรถมาทำงาน ผมอึ้งไปชั่วขณะก่อนถามว่า “แล้วตอนนี้วิชัยอยู่ที่ไหน” วิชัยคือน้องที่ทำงานกะดึกที่ โทรฯมาหาผม
“ผมอยู่ที่โรงพยาบาล ครับ” เขาเอ่ยชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งผมรู้จักดี เพราะเมื่อมีเรื่องแบบนี้ หลายครั้งที่เด็กจะถูกส่งตัวไปที่นั่น
“ผมกำลังช่วยเคลียร์ เรื่องที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตาม พรบ.อยู่นะครับ” วิชัยตอบมาตามสาย
“ทราบรถคันที่ชนมั๊ย แล้วคนขับรถคันนั้นละ จับได้ไหม ?” ผมยิงคำถามต่อ ด้วยความกังวลใจ
โรงงานที่ผมทำงานเป็นโรงงานของบริษัทต่างชาติ ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตุอุตสาหกรรมเวลล์โกรว์ ตรง ถนนบางนาขตราด ช่วง กม.๓๖ ที่บริษัทฯเราทำงานกันทั้งคืนทั้งวัน พนักงานจำนวนกะละประมาณ สามพันกว่าคน ต้องเดินทางมาขึ้นรถรับส่ง ซึ่งทางบริษัทฯจัดให้บริการแก่พนักงาน เพื่อมาทำงาน
“รถคันที่ชน หนีไปครับพี่ แต่ป้ายทะเบียน กท.ตกอยู่ที่เกิดเหตุครับ” วิชัยบอกต่อ คงเป็นโชคร้ายของเขา แต่ก็เป็นโชคดีในโชคร้ายของเด็กเราแว๊บหนึ่งผมคิดแบบนั้น
“อ้อ เหรอ แล้วตำรวจหละเจอเขาแล้ว ยัง เขาว่าไง บ้าง” ผมถามต่อ
“ตำรวจ บอกว่า เขาจะตรวจสอบดูเลขทะเบียน พรุ่งนี้คงรู้ผล ครับ” วิชัย ตอบผม
เวลาตอนนั้น ราว สี่ ทุ่มกว่าๆ “คงเป็นเด็กกะดึก ที่กำลังเตรียมตัว ไปทำงาน” ผมคิดต่อ เรามักเรียกพนักงานรายวันทั่วๆไปในบริษัทฯว่าเด็ก ทั้งๆที่บางคน มีครอบครัว และมีลูกเรียนถึงชั้นมัธยมแล้วก็ตาม
“เอาอย่างนี้ ก็แล้วกัน วิชัยช่วยโทรฯบอกณรงค์ ให้ตามเรื่องประกันสังคม และการประกันชีวิตของเขาที่บริษัทฯทำให้ด้วย และช่วยนัดญาติเด็กเขามาพบผมพรุ่งนี้” “เอ้อ แล้ว อย่า ลืม ให้ ณรงค์ เบิกค่าจัดงานศพ จากบริษัทฯเตรียมไว้ให้ด้วยนะ” ผมสั่งวิชัยให้ส่งเรื่องต่อให้แก่ณรงค์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลที่รับผิดชอบเรื่องงานกรณีพนักงานเสียชีวิต ก่อนจบบทสนทนาลงว่า “แล้วพรุ่งนี้ ค่อยว่ากันอีกที”
แม้ทุกอย่างจะทำไป เหมือนโดยอัตโนมัติ แต่ความรู้สึกเศร้าๆ ก็คุกคามจิตใจโดยที่ตัดไม่ได้สักทีเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ การนัดญาติมาพบเป็นการทำจนเป็นปกติวิสัยเมื่อพนักงานเสียชีวิตไม่ว่าจากกรณีใดๆก็ตาม เพื่อจะได้แจ้งให้เขาทราบว่าบริษัทฯจะช่วยอะไรเขาบ้าง และจะมีเงินทำศพก้อนแรกที่เขาสามารถรับไปได้เลย เพื่อนำไปใช้ก่อนทั้งนี้ เพราะขั้นตอน ในการเบิกเงินก้อนใหญ่ จากประกันสังคมและจากประกันชีวิตจริงๆ ซึ่งมักจะต้องใช้เวลาพอสมควร และส่วนใหญ่กว่าจะเรียบร้อยก็มักจะเป็นช่วงเมื่อได้จัดการงานศพไปเรียบร้อยแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นผมเดินทางเข้าไปทำงานที่บริษัทฯตามปกติ
“พี่ ตำรวจ นัดสามีของเด็กและฝ่ายคู่กรณีไปพบที่ป้อมตำรวจ ที่ กม. 15 ตอน 10 โมง เช้า เขาขอให้เราไปด้วย ผมจะไปนะพี่” ณรงค์ ผู้รับผิดชอบกะกลางวันต่อจากวิชัยเข้ามารายงานแต่เช้า เขายังบอกต่อไปอีกว่าเขาเองต้องไปเคลียร์ที่โรงพยาบาล ให้เรียบร้อยก่อน เพราะมีบางอย่างต้องจัดการ การจัดการเรื่องการเซ็นต์เอกสารต่างๆตามพรบ.ประกันภัยจากรถที่เรียกกันสั้นๆว่า พรบ.นั้น ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน โรงพยาบาลจึงจะอนุญาตให้นำเอาศพออกมาได้ เรื่องแบบนี้ คนทำงานอย่างผมนั้นเข้าใจดี เพราะหากมีปัญหาใดๆขลุกขลักเกิดขึ้นจะทำให้ญาติคนตายจะยิ่งรู้สึกเหมือนถูกซ้ำเติมความเจ็บปวด ข่มขื่น จากความโชคร้ายอยู่แล้วให้มากขึ้น โดยไม่จำเป็น และยิ่งมาจากการเซ็นต์เอกสารรับรองจากบริษัทเราและคู่กรณีไม่เรียบร้อย จนทำให้ไม่สามารถนำศพออกจากโรงพยาบาลได้ ยิ่งแล้วใหญ่
“อือ ดี ณรงค์ ไปโรงพยาบาล จัดการให้เสร็จ แล้วเดี๋ยวพี่จะตามไปพบตำรวจด้วย ตอนนี้ขอเคลียร์งานนิดหน่อยก่อน แล้วอย่าลืมเบิกค่าทำศพไปเลยนะญาติเขาไม่ต้อง เข้ามาที่โรงงานอีก” ผมย้ำไม่อยากให้ญาติเขาเสียเวลา เทียวกลับไปกลับมา เพราะเขาคงกังวลใจกับเรื่องอื่นๆมากอยู่แล้ว
“ตำรวจเขารู้รถยนตร์ที่ชนเด็กแล้วครับ” ณรงค์บอกต่อ พร้อมเอ่ยชื่อบริษัทฯที่ผลิตของเล่นเด็กในนิคมอุตสาหกรรมบางพลีซึ่งเป็นเจ้าของรถ คนขับรถเป็นเพียงพนักงานขับรถของบริษัทที่ว่า เมื่อผมไปถึงป้อมตำรวจ ณรงค์ สามีของเด็ก และคู่กรณีคุยรอกันอยู่ก่อนแล้ว ทางฝ่ายคู่กรณีมากันสองคน เป็นทนายความคนหนึ่งกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลอีกคนหนึ่ง
ผมรีบขอเข้าพบเพื่อคุยหารือกับตำรวจเจ้าของคดีเป็นเบื้องต้นก่อนหน้านั้นแล้ว จึงออกมาทักทาย ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของคู่กรณี
“พี่จะเอาอย่างไร ครับ”ผมรีบถามผู้จัดการฝ่ายบุคคลคู่กรณีในฐานะที่ทำงานอาชีพเดียวกัน และเคยเจอกันมาก่อนในการประชุมเกี่ยวกับงานบุคคลมาก่อนบ้างแล้ว
“ผมว่าจะให้ทางเด็กผม จ่ายค่าทำขวัญสัก แปดหมื่น บาท” เขาตอบผมมา ผมเองอยากต่อรองเพื่อให้ครอบครัวเด็กได้เงินให้มากที่สุดขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องพยายามปกป้องคนของเขา ขณะที่บริษัททั้งสองฝ่ายก็ไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้อเกินไป พนักงานของเขาก็เป็นเพียงพนักงานขับรถธรรมดา เงินแปดหมื่นก็คงมากพอสมควรสำหรับเงินเดือนพนักงานขับรถ ผมเองแม้คิดว่าเงินก้อนที่เขาเสนอมาอาจจะน้อยไป และถึงอย่างไร ก็ไม่สามารถทดแทนชีวิตที่เสียไปได้ แต่ดูแล้วอาจจะยากที่จะต่อรองให้ได้มากขึ้นกว่านี้ ผมจึงหันไปถามสามีของเด็ก ว่าคิดอย่างไร
“แล้วแต่ผู้จัดการจะเห็นสมควรก็แล้วกัน ครับ” เขาตอบมาเบาๆ ผมมองแววตาของเขาแล้ว เข้าใจว่าเขาคงอยากให้เรื่องจบๆไป เพื่อเขาจะได้นำ ศพของภรรยาอันเป็นที่รักกลับบ้านเกิดของเธอให้เร็วที่สุด เพื่อประกอบพิธีกรรมตามประเพณีแก่ร่างผู้เป็นที่รักครั้งสุดท้าย
ชีวิตนี้ บางทีการพลัดพราก แม้เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น หากแต่…ถ้ามันมาถึงเร็ว เกินเป็นใครก็ยากจะทำใจ และแน่นอนสำหรับเขา ในยามทุกข์ …เคราะห์กรรม คงเหมือนช่างประเดประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน
“ถ้าอย่างนั้น ก็เข้าไปคุยกับ ตำรวจ ด้วยกัน ก็แล้วกัน” ผมบอกเขาด้วยเสียงลึกๆ พยายามกดก้อนบางอย่างในลำคอไว้อย่างยากเย็น
และเมื่อทุกคน เห็นตรงกัน ทุกอย่างก็จบอย่างลงตัวได้ผมหันมาถาม ณรงค์ ว่าเรื่องที่โรงพยาบาล เรียบร้อยไหม
“เรียบร้อยครับ สามารถรับศพออกมาได้เลย” ณรงค์ตอบ
“แล้วจะไปทำพิธี ที่ไหน” ผมถามต่อ “บุรีรัมย์ครับ รถมูลนิธิฯจะไปส่งเราต้องจ่ายค่าใช้จ่ายให้เขาบ้าง เขาจะไปส่งถึงที่เลย ครับ”สามีเด็กตอบเสียงเศร้าๆ ก่อนแยกย้ายกล่าวลาต่อกัน สามีของเด็กเดินเข้ามาหาผมกับณรงค์ พร้อมบอกว่า“ผมต้องรีบไป หละ ครับ จะได้ถึงบ้านไม่ดึกมากนัก”
ผมมอบเงินค่าทำศพจากบริษัทฯพร้อมฝากเงินทำบุญส่วนตัวไปอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมบอกเขาว่าทางฝ่ายผลิตคงจะมีตัวแทนไปร่วมงานศพภรรยาเขา สุดท้ายก็ย้ำให้ ณรงค์ตามเขาไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูทุกอย่างให้เรียบร้อยอีกครั้ง
สามีเด็กเข้ามายกมือไหว้ลาและกล่าวขอบคุณผม อีกครั้ง ผมมองเห็นน้ำคลอๆอยู่ในสองตาของเขา ขณะเอ่ยคำ ขอบคุณ นั้น ผมรู้สึกได้ว่าเขาหมายถึงอย่างนั้น จริงๆ
ผมรู้สึกอีกครั้ง ณ วินาทีนั้น เหมือนทุกครั้งที่ได้ทำเรื่องแบบนี้ ผมแอบมีความสุขอยู่ลึกๆเมื่อจัดการเรื่องต่างๆจบลง ผมไม่ได้หมายถึงความรู้สึกที่มาจากการที่ผมได้ทำหน้าที่ที่บริษัทฯกำหนดให้ทำ สำเร็จด้วยดี ….หรอก ครับ
ทว่า ผมหมายถึง ความรู้สึกที่เกิดมาจากการที่รู้สึกว่าได้ทำอะไรบางอย่างให้กับผู้ที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ชะตากรรมของชีวิต คนทำงานในโรงงานและบริษัทฯ โดยเดินทางจากบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด เพื่อมาแสวงหาอนาคตในเมืองกรุง เหมือนกันนั้น ต่างหากละครับ ….ที่ผมหมายถึง
.
………….
No comments:
Post a Comment