Tuesday, March 17, 2009

ประชาธิปไตยคุณภาพ: ทางออกสังคมไทย



การเมืองไทยปัจจุบันและอนาคตที่ท้าทาย

ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง ผมก็มีความรู้สึกเหมือนๆกับเพื่อนร่วมชาติทุกคนว่า ประเทศไทยวันนี้เกิดอะไรขึ้น และเราจะเดินไปทางไหน ปัญหาความขัดแย้งที่แผ่ซ่านไปทุกหย่อมหญ้าจะไปสิ้นสุด ณ จุดไหน ผมเองเมื่อพบปะบรรดามิตรสหาย ก็จะถูกถามด้วยคำถามที่ว่านี้อยู่แทบจะทุกครั้งที่พบหน้าเพื่อนฝูงเหล่านั้น สิ่งดังกล่าวนี้คือแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้สนใจเขียนบทความนี้ขึ้นมา

ปัญหาต่างๆที่เราประสบอยู่ แม้จะมีรากเหง้ามาจากปัญหาหลายๆด้าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหามันมารวมศูนย์อยู่ที่เรื่องการเมือง และก็ปฏิเสธอีกไม่ได้ว่าข้อถกเถียงที่สำคัญคือเรื่อง ประชาธิปไตยขณะที่ฝ่ายหนึ่งบอกว่า หากจะเอาประชาธิปไตย ก็ต้องยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หากมีปัญหาอะไรทางการเมือง ก็แก้กันในกรอบของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็มองว่า ประชาธิปไตย จะมองเพียงการเลือกตั้ง อย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมองคุณภาพของประชาธิปไตย ด้วย จากการถกเถียงของประเด็นดังกล่าว ได้นำไปสู่ความขัดแย้งที่ขยายตัว ออกไปอย่างกว้างขวาง และแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน ซึ่งหลายกลุ่มได้กำหนดแนวคิดทางการเมืองและสัญลักษณ์ของตนเองขึ้นอย่างชัดเจน เช่นสีแดงของกลุ่ม แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ยึดเอาการเลือกตั้งเป็นสรณะ กลุ่มนี้เริ่มต้นจากการที่เห็นว่าการที่คณะปฏิรูปการเมืองการปกครองฯ (คปค.). ได้ทำการยึดอำนาจเมื่อ วันที่ 11 กันยายน 2549 นั้นไม่ชอบธรรม เพราะไปล้ม รัฐบาล ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นรัฐธรรมนูญ 2550 ที่เป็นผลพวงอันเกิดจาก คมช. ก็ไม่ชอบธรรมไปด้วย กลุ่ม นปช. นี้ถูกมองว่าดำเนินการอย่างเชื่อมโยงกับระบอบทักษิณและสนับสนุนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเต็มที่ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)ซึ่งก่อตัวขึ้นตั้งแต่ปลายรัฐบาล ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพราะมองว่ารัฐบาลดังกล่าวได้สร้างระบอบทักษิณ อันเป็นเผด็จการรัฐสภาขึ้น โดยการใช้เงินซื้อเสียง ซื้อพรรคการเมือง มีการแทรกแซงองค์กรอิสสระ จึงมีการก่อตัวโดยการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง มาจนเกิดการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน จึงหยุดดำเนินการไประยะหนึ่ง มาก่อตัวขึ้นอีก เมื่อการเมืองไทย มีการเลือกตั้งภายใต้ รัฐธรรมนูญ ปี 2550 และได้รัฐบาลผสมที่มากการจัดตั้งของพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีพรรคพลังประชาชน เป็นแกนนำ โดยพันธมิตรฯมองว่าพรรคพลังประชาชน นั้นคือตัวแทน หรือนอมินี ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินยุบพรรค ไปนั่นเอง จึงทำให้ พธม. เห็นว่าการบริหาราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใหม่นี้ตกอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ เหมือนเดิม จึงมีการคัดค้านรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช ที่มาจากพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ และการคัดค้านนี้มาประทุขึ้นเป็นการชุมนุมอย่างยืดเยื้อเมื่อ พรรคพลังประชาชนและรัฐบาลยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา237 และมาตรา 190 ซึ่งพันธมิตรเห็นว่าเป็นการแก้ไขเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณและพวกพ้อง ที่ถูกลงโทษถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปก่อนหน้านี้แล้ว กลุ่มพันธมิตรฯใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ และเสนอเรื่องการสร้างการเมืองใหม่ เป็นเป้าหมายของกลุ่ม ส่วนกลุ่มที่ สามคือกลุ่มที่ไม่เอาทั้งสองกลุ่มและเรียกร้องความเป็นกลางและความสมานสามัคคี ของคนในชาติ เป็นหลัก กลุ่มนี้ใช้ สีขาว เป็นสัญลักษณ์ ความขัดแย้งในสังคมการเมืองนำไปสู่ความรุนแรงหลายๆครั้งและครั้งสุดท้ายคือการเข้าการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยตำรวจ เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้เข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา การสลายการชุมนุมดังกล่าวเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีก 400 กว่าคน และความขัดแย้งยังคงลุกลามต่อไป อย่างไม่รู้จุดที่จะสิ้นสุดที่ไหน

ในความเห็นของผู้เขียน มองว่า เราสามารถแยกทางแก้ปัญหาออกเป็นสองส่วน คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นั้นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่างๆ ทั้งรัฐบาล นปช. พธม. และประชาชนอย่างเรา ก็ต้องพยายามติดตามสถานการณ์และช่วยกันแก้ไขกันไปตามกำลังความสามารถและตามสถานการณ์ แต่ที่ผมอยากจะแลกเปลี่ยนด้วยในเอกสารบทความนี้ก็คือการแก้ไขปัญหาระยะยาว ซึ่งความเห็นของผม คือการพัฒนาระบอบการเมืองไทยไปสู่ระบอบประชาธิปไตยคุณภาพ

อะไรคือประชาธิปไตยคุณภาพ ?

ประชาธิปไตยคุณภาพ คือการนำเอาระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย มาผสมผสานกับบริบทของสังคมไทยอย่างเหมาะสม หรืออาจหมายถึงพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในสังคมไทย อย่างจริงๆจังๆมากกว่าจะพอใจเพียงประชาธิปไตยแบบมีแต่เปลือกเหมือนที่เป็นอยู่ ซึ่งผมมองออกเป็นสามประการ ดังนี้

ประการแรก การเข้าสู่อำนาจของคณะรัฐบาลและสภาผู้แทน ต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งปัจจุบัน ที่มีเฉพาะระบบแบ่งตามพื้นที่อย่างเดียว และได้นักการเมืองกลุ่มเดียวและส่วนใหญ่ได้คนไม่ดี จำพวกผู้ค้ายาเสพติด เจ้ามือหวยเถื่อน เจ้าพ่ออิทธิพล เข้ามา เป็นต้น มาเป็นการเลือกตั้ง มาจาก 3 ส่วน คือ โดยที่หากเราใช้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทน จำนวน 450 คน เป็นเกณฑ์ควรเลือกแบบแบ่งเขตุแบบเดิมเพียง 150 คน และมาจากการรวมเขตแบบสัดส่วนอีก 150 คน ส่วนอีก 150 คนให้เลือกโดยยึดกลุ่มอาชีพ และชนเผ่า ทั้งนี้เพื่อให้ได้ตัวแทนที่หลากหลายและสะท้อนความเป็นตัวแทนของปวงชนอย่างแท้จริง ซึ่งในรายละเอียด ยังจะต้องพูดถึงองค์กรอิสสระและที่มาด้วย แต่ในส่วนการเข้าสู่อำนาจ ผมคิดว่าประเด็นเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในขณะนี้ ประเด็นนี้ถือเป็นประเด็นของประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) ที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน

ประการที่สอง ต้องมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของประชาชนในการบริหารงานของรัฐในทุกระดับ ตั้งแต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงทบวง กรม ต่างๆ และในทุกๆด้าน เช่นการดำเนินนโยบายและกิจการของรัฐขนาดใหญ่ ต้องมีการสร้างกระบวนการให้ตัวแทนผู้มีส่วนได้เสียมามีส่วนร่วมในการคิด การตัดสินใจ และการบริหารงานอย่างจริงจัง เหมือนดังเช่นการที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร คณะกรรมการกองทุนอ้อยและน้ำตาล รวมทั้งอีกหลายหน่วยงานกำลังดำเนินการอยู่ การดำเนินการในลักษณะนี้ คือการตอบสนองต่อปัญหาของระบอบการเมืองที่เรียกว่าประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participative Democracy)นั่นเอง

ประการที่สาม คือการสร้างการเมืองภาคประชาชนให้เข้มแข็ง และกลไกรัฐก็ต้องส่งเสริมการดำเนินงานขององค์กรภาคประชาชนให้มีการดำเนินงานอย่างมีคุณภาพให้มากขึ้น รัฐจะต้องดำเนินให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์และประชามติ ในเรื่องสำคัญๆ รัฐต้องสนับสนุนการดำเนินงาน และบทบาททางการเมืองของสภาองค์กรชุมชน สภาพัฒนาการเมือง สภาเกษตรกร (ที่กำลังดำเนินงานอยู่) องค์กรประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน สภาอุตสาหกรรม หอการค้า และสมาคมวิชาชีพต่างๆ อย่างจริงจัง รัฐจะต้องจัดให้ภาคประชาชนเหล่านี้เข้าไปใช้สถานที่ งบประมาณ และทรัพยากรอื่นๆของรัฐ ในประชุม สัมมนา แสดงความคิดเห็น ได้โดยสะดวก แม้กระทั่งจัดสถานที่ถาวรที่ประชาชนผู้เดือดร้อนสามารถจัดชุมนุมทางการเมือง เช่นเป็นลานเอนกประสงค์ในบริเวณจุดศูนย์กลางอำนาจรัฐในแต่ละระดับได้อย่างไม่มีการปิดกั้น แน่นอนก็คงต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายบ้านเมือง และเพื่อให้การแสดงออกโดยตรงของประชาชนที่เรียกว่าประชาธิปไตยทางตรง(Directed Democracy) นี้ให้มีประสิทธิภาพ รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องส่งเสริมการให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ทางการเมืองและประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง ในลักษณะกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Socialization) อย่างเต็มที่นั่นเอง

การเสนอความคิดเห็นดังกล่าวนี้ ก็เพื่อต้องการแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้สนใจปัญหาบ้านเมืองในขณะที่สภาวะสังคมไทยเราก็กำลังถูกท้าทายกับสภาพการณ์และคำถามใหม่ๆ ที่ต้องตอบ และกำลังมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่อย่างรุนแรงในขณะนี้ เพื่อที่จะช่วยกันประคับประคองและผลักดัน ไปสู่การพัฒนาสังคมไทย อย่างเหมาะสม ผู้เขียนยังมีความเชื่อว่าสังคมไทยที่การพัฒนาการและประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของตนเอง ยังมีภูมิปัญญาที่มีค่าอนันต์ซ่อนอยู่ และหากเราสามารถช่วยกันคิด เสนอแนะ แสดงออก และร่วมกันดำเนินการให้สังคมเราฟันฝ่าวิกฤติ ครั้งนี้ไปได้ เราไม่เพียงแต่แก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่เท่านั้น หากเรายังจะสามารถแบ่งปันองค์ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ในครั้งนี้ให้กับสังคมอื่นๆในโลกใบนี้ ที่กำลังเผชิญปัญหาในลักษณะคล้ายๆกันอีกด้วย

No comments:

Post a Comment