แม้วันนั้นจะนานมากแล้ว แต่สำหรับผมแล้วมันเหมือน เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อวานนี้เอง เช้า วันนั้น ในฐานะเด็ก ที่จบ ม.ศ. 5 มาสองปีแล้ว ผมจึงไม่มีชุดนักเรียนใส่ไปสอบ สัมภาษณ์ แต่ก็พยายามแต่งชุดที่ดูว่าเรียบร้อยที่สุด ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็รีบออกจากที่พักย่านฝั่งธน แล้วรีบไปแต่เช้า เพื่อไปสอบสัมภาษณ์พร้อมกับความครึ้มใจ ว่าผ่านการสัมภาษณ์วันนี้แล้ว ซิหนอเราก็จะได้เข้าเรียน ในคณะฯและมหาวิทยาลัย ที่สามารถทำให้ทางบ้านได้ภาคภูมิใจอีกครั้ง หลังจากที่ต้องทำให้ท่านทั้งสอง พ่อ และ แม่ ต้องช้ำใจ อย่างหนักหนาสาหัส เมื่อหกเดือน ที่ผ่านมา ไปถึงมหาวิทยาลัยและไปดูคิวสอบสัมภาษณ์ของเรา อยู่ที่10:00 น. ตอนนั้นเพิ่ง 8 นาฬิกากว่าๆ ก็เลยเดินดูไปทั่วๆบริเวณคณะที่สอบติดมา ความภูมิใจก็ยิ่งมีมากขึ้น เมื่อเดินชมทั่วไป ไม่ใช่เพราะสอบเข้าได้ คณะนี้หรอกแต่เป็นเพราะว่าได้คิดและได้ทำสิ่งที่ถูก….เป็นครั้งแรกในช่วงเวลานี้ หลังจากที่ทำผิด ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก มามากต่อมาก หลายต่อหลายครั้ง ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ต่างหาก…เล่าครับ จากการสอบผ่าน ม.ศ. 5 สายวิทยาศาสตร์ด้วยคะแนนร้อยละ 50.00 ซึ่งเพื่อนๆแซวว่า อาจารย์เขาคงปัดคะแนนให้ผ่าน ทั้งที่จริงแล้วคะแนนจริงๆอาจจะตกแบบเฉียดฉิวซะด้วยซ้ำ จบ ม.ศ. ปีแรก ไม่ได้เตรียมตัวไม่ได้สมัครสอบเอ็นทร้านส์ เพราะคิดว่าอย่างไรก็คงสอบ ตก ม.ศ. 5 แน่ๆ แต่ผมคาดคะเนผิดไปนิดหนึ่ง เลยต้องว่างเสีย 1 ปี จะว่าว่างเสียทีเดียวก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะอันที่จริงแล้วผมได้ระเห็จลงไปเป็นคนงานสวนยางพาร ที่อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เสียหลายเดือนก่อนจะกลับขึ้นมาสอบเอ็นทร้านส์ ตอนปลายปีคราวนี้สอบติดคณะวิศวกรรมของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง เรียนได้เพียง 1 เทอมก็ถูกอัปเปหิออกมาเพราะสอบได้เกรดไม่ถึง 1 ปกติในสมัยนั้นถ้าเกรดไม่ถึง 2 จะติดโปรฯไม่ใช่ “โปรเฟสชั่นนัล”นะครับ “โปรเบชั่น”นะ แต่ของผมได้ไม่ถึง 1 สถาบันฯก็เลยเชิญออก เพราะเขากลัวว่าจะเสียเวลาทั้งผม บรรดาอาจารย์ และสถาบันฯพูดเล่นนะครับ อันที่จริงแล้วกฎเขาเป็นอย่างนั้นเอง ก็จะไม่ให้ได้เกรดแค่นั้นได้อย่างไรละครับก็ทั้งเทอม ผมเอา แต่เมาหัวราน้ำบางวันเข้านั่งไปเรียนช่วงสายๆ ยังไม่สร่างเมาดีเลยครับ เดินคิดเดินดูบริเวณเพลินๆพอไกล้เวลานัด จึงเดินกลับมาที่ตึกที่ทางคณะฯจัดสัมภาษณ์ ปรากฏว่ารออีกพักหนึ่งก็ถึงคิวผม “นายวีรพันธ์เข้าห้องสอบสัมภาษณ์ที่ 3 นะคะ” เจ้าหน้าที่บอกผมหลังจากตรวจสอบเอกสารต่างๆเรียบร้อยแล้ว ผมเข้าไปในห้องสอบสัมภาษณ์ เห็นอาจารย์สองท่านเป็นกรรมการสอบนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมยกมือไหว้อย่างที่คิดว่าเรียบร้อยที่สุด “นั่งซี” กรรมการท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งชี้ให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าของท่านทั้งสองโดยมีโต๊ะขั้นอยู่ตรงกลาง กรรมการถามคำถามไม่กี่คำถาม ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าท่านถามว่าอะไรบ้างก่อนจะถึงคำถามสุดท้าย ที่อาจารย์เอ่ยเปรยขึ้นและถามว่า “อ้อ ได้คะแนนร้อยละ 50.00 และจบมาสองปีแล้ว ไปทำอะไรอยู่เหรอ” “มีปัญหาส่วนตัว ครับ เลยหยุดเรียน ไปทำงาน” ผม พยายามตอบเลี่ยงๆไป “อ้อ” “เอาอย่างนี้นะ …วีรพันธ์ออกไปก่อน แล้วกลับมาสอบใหม่ตอน 5 โมงเย็นวันนี้ อีกครั้งนะ” “ครับ” ผมรับคำมือเท้าเย็นเฉียบ หัวใจหล่นวูบเหมือนตกลงไปในถังน้ำแข็ง ผมยกมือไหว้ลาอาจารย์ทั้งสองท่าน แล้วเดินออกมาอย่างเหม่อลอยคิดแต่ว่าคงมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับการสัมภาษณ์ของตนเองแน่นอน เพียงแต่ไม่ทราบว่าปัญหาอะไรเท่านั้นเอง ผม..จะทำอย่างไร..ดี คำถามที่ประเดประดังเข้ามาในหัว ดังเหมือนก้อนหินหนักหลายตัน กดทับลงบนหัวใจของผม..แสนจะหนัก…อึ้ง…ผมจะทำอย่างไร ผมจะทำอย่างไรๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…ดี ผมเดินเกร่ไป….เกร่มา…..อยู่แถวหน้าตึกที่สอบสัมภาษณ์ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบและก็สังเกตุว่า…นักเรียนที่มาสอบสัมภาษณ์ คนอื่นๆพอเขาสอบเสร็จก็กลับบ้านไปเลยทุกคน ขณะที่ผมเดินไปเดินมาก็พอดีได้พบเด็กที่รู้จักคนหนึ่งซึ่งสอบติดคณะเดียวกับผมแต่คนละแผนก ผมเคยพบเขาหลายครั้งเพราะเป็นคนจังหวัดเดียวกันกับผม ผมรีบเดินเข้าไปทักทายเขา อย่างใจชื่นขึ้นมาหน่อย ว่าอย่างน้อยก็พอมีคนรู้จักให้อุ่นใจ แม้จะรู้ว่าเขาคงจะช่วยอะไรผมไม่ได้ก็ตามที “ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอเห็นสอบเสร็จตั้งนานแล้ว” เขาถามขึ้นอย่างสงสัย “ของเราอาจารย์ เขานัดให้มาสอบอีกครั้งตอน 5 โมงเย็น ของนายไม่ต้องกลับมาสอบอีกครั้ง เหรอ” ผมถามเขาโดยนำเสียงที่ปิดแวววิตกกังวลไว้ไม่มิด “ไม่เห็นมี นี่ แล้วนายจะต้องรอจนเย็นละซี”เขาตอบพลางถามผมต่อ “อื้อ..คงงั้น..แหละมั๊ง”ผมตอบ “งั้นเราไปก่อนนะ โชคดีนะเพื่อน” “เออ..ขอบใจ ..นะ.” เพื่อนจากไปแล้ว….ผมนั่งคอตกอยู่บนม้าหินคนเดียว….เด็กนักเรียนที่มารอสอบสัมภาษณ์ คอยๆทยอยสอบและทยอยกลับไปเรื่อยๆจนเหลือน้อยลงๆทุกที ณ.วินาทีนั้นผมเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ในโลกใบนี้ไม่รู้จะปรึกษาใคร…..กับคำถามว่าเราจะทำอย่างไรดี พ่อและแม่..คงไม่ต้องพูดถึงเพราะผมตัดขาดการติดต่อกับทางบ้าน หลังจากวันถูกรีไทร์ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า และถูกพ่อเทศน์เสียกัณฑ์..ใหญ่.. และในปี พ.ศ.นั้นการติดต่อทางโทรศัพท์ระหว่างกรุงเทพฯกับบ้านผมในต่างจังหวัดนั้นทำไม่ได้เลย เพราะบ้านผมยังไม่มีโทรศัพท์ใช้เลย เพื่อนของน้าชาย ที่เคยมาพักอาศัยกับเขาเมื่อมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ ระยะหลังก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน หลังจากผมตัดสินใจออกมาหาที่อยู่ใหม่หลังจากจบ ม.ศ. 5 และลงไปทำงานทางภาคใต้ เมื่อกลับขึ้นมาผมก็ระเหเร่ร่อนเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนบ้างเช่าหอพักอยู่บ้าง ในบางวาบ..ของความคิด…ผมรู้สึก…กลัว…กังวล..ใจ…อย่างมากผมจะตอบกรรมการ ว่าอย่างไร…หากกรรมการเขาไม่พอใจอาจให้ผมตกสัมภาษณ์..เท่าที่ผมทราบมาบ้างคนสอบตกสัมภาษณ์ มีน้อยมาก…และมันคงเป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆเท่านั้น..ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลใจ ผมอยากสอบให้ได้…ผมอยากเอาความสำเร็จจากการสอบเข้าเรียนที่นี่ได้ นำไปลบความผิดหวังของพ่อและแม่..นั่นคือความหวังลึกๆว่าอยากจะทำสิ่งที่ถูก..ให้ท่านภูมิใจ ได้บ้าง… เพราะผมได้ยินเพื่อนที่ไปเยี่ยมบ้านกลับมาเล่าให้ฟังว่าพ่อไปเที่ยวเล่าใครต่อใคร อย่างภาคภูมิใจตอนที่ผมสอบเข้าเรียนที่ฯเทคโนฯลาดกระบังได้และต่อมาเมื่อผมถูกรีไทร์ พ่อผมก็หายหน้าหายตาไปจากวงสนทนาเพราะไม่อยากตอบคำถามของเพื่อนๆเกี่ยวกับเรื่องที่ผมถูกให้ออกจากสถาบันนั้นว่าจริงหรือไม่และถูกให้ออกเพราะเหตุอะไร เฮ้อ…เรา…หนอ…เรา…. ผมคิดวนไปเวียนมา บางช่วงขณะ..ผมอยากหนีไปให้พ้นจากสภาพที่ต้องเผชิญหน้าอยู่ ผมเพียงลืมความหวังทุกอย่างเสีย หนีไปอยู่ที่ไหนไกลๆ แล้วหางานทำยังไงเสียผมก็ไม่ได้สนใจอนาคตของตัวเองมากเท่าไรอยู่แล้ว.นี่ และด้วยความรู้ ที่จบชั้น ม.ศ. 5 ผมคงจะพอหาเลี้ยงชีพได้ไม่อดตาย ละมั๊ง…. เพียงแต่ไม่สามารถทำให้พ่อแม่สมหวังอย่างตั้งใจ จะเป็นไรไปเล่า…ถ้าจะต้องทำให้ท่านผิดหวังอีกสักครั้งเหมือนที่ได้ทำให้ท่านผิดหวังมามากต่อมากแล้ว..ในระยะที่ผ่านๆมา…เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่ทราบว่าตอนนั้นผมอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่เสียด้วย ซ้ำไป.. คะแนน 50.00 สอบติดคณะที่เด็กที่สอบติดส่วนใหญ่จากทางสายศิลป์ก็ติดบอร์ด 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้น ถ้ามาจากสายวิทย์ก็70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นเป็นส่วนใหญ่กรรมการท่านคงคิดว่าผมทุจริตการสอบก็ได้ หรืออาจคิดไปอย่างอื่นๆได้อีกหลายแง่… “ไม่มีอะไรดีที่สุดเท่ากับการพูดความจริง….เล่าทุกอย่างตามความจริง”ผมคิดตกและตัดสินใจได้หลังจากคิดทบทวนกลับไปกลับมาอยู่หลายชั่วโมง..กลัวและกังวลมากจนหายกลัวหายกังวล…… “สอบได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว..ไม่ใช่หรือ..ทำให้ดีที่สุด บอกกรรมการไปตามความจริงที่เหลือ..ให้เป็นเรื่องของท่านเหล่านั้นพิจารณา….” เมื่อคิดตกตัดสินใจได้..ผมก็สบายใจขึ้นมากและพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ เมื่อจิตใจสงบลงผมเริ่มพบว่านอกจากผมแล้ว ขณะที่ผู้มาสอบสัมภาษณ์คนอื่นๆทะยอย กลับกันไปเกือบหมดยกเว้นผม ก็ยังมีนักเรียนที่สอบติดข้อเขียนอีกหนึ่งคนจากสุโขทัย ชัยพรคือชื่อของเขา เราสองคนจึงนั่งปรับทุกข์กัน รอเวลานัดสอบตอนเย็นที่จะมาถึง ตกมาตอนนี้ผมกลับเป็นฝ่ายให้กำลังใจเขา..เสียอีกด้วยซ้ำไป เพราะสำหรับผมนั้นพอจะเดาสาเหตุได้เลาๆ….ว่าทำใมกรรมการท่านถึงเรียกผมสอบสัมภาษณ์อีกครั้งและผมได้คิดตกแล้วว่า จะเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร.. ขณะที่ชัยพรเอง เขายังไม่ทราบว่าปัญหาของเขาเกิดเพราะอะไรทำใมอาจารย์ถึงเรียกเขาสอบอีกครั้ง ผมมาทราบภายหลังว่าเขามีปัญหาบุคลิกภาพบางอย่าง กรรมการจึงไม่มั่นใจว่าเขาจะเรียนได้ เมื่อเวลา 5 โมงเย็นมาถึงหลังจากกรรมการสอบสัมภาษณ์ ผู้สอบติดข้อเขียนทุกคนได้สอบเสร็จสิ้นหมดทุกคนแล้ว ผมก็เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตามที่กรรมการท่านนัดไว้ “อ้อ…นาย วีรพันธ์ เหรอ เข้าไปซิ กรรมการท่านรออยู่แล้ว”เจ้าหน้าที่คนเดียวกับคนเมื่อเช้าบอก หน้าเธอเหมือนกังวลแทนผม…อยู่บ้าง…คงจะสงสารมั๊ง ผมคิดเอาเองว่าเธอคงรู้สถานการณ์บางอย่างที่ผมไม่รู้ ห้องที่ผมไปสัมภาษณ์ตอนนี้เป็นคนละห้องกับที่สอบเมื่อตอนเช้า ผมเคาะประตูก่อนเปิดประตูเข้าไปหลังจากได้ยินเสียงอนุญาต ผมเดินเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ก็พบว่าห้องสัมภาษณ์ตอนนี้มีอาจารย์นั่งอยู่ทั้งหมดสิบท่าน ผมเข้าใจว่ากรรมการทุกคณะที่แบ่งกันสัมภาษณ์คณะละสองท่านเมื่อตอนเช้าคงจะมารวมกันทั้งหมดเพราะต้องตัดสินใจเรื่องที่สำคัญบางอย่าง….แต่เมื่อใจผมสงบเสียแล้วสภาพดังกล่าวนั้นจึงไม่ทำให้ผมกังวลใจใดๆเลย ผมยกมือไหว้กรรมการทุกท่านอีกครั้งก่อนนั่งลงตรงหน้าของกรรมการทั้งสิบท่านที่นั่งรายล้อมผม..เป็นรูปครึ่งวงกลม เมื่อได้รับคำบอกให้นั่ง “วีรพันธ์…มีอะไรจะพูดกับกรรมการก็พูดมาตามความจริงทั้งหมดได้เลยนะ” กรรมการท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น หากเป็นก่อนหน้านั้นมือผมคงเย็นเยียบใจคงเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ตอนนั้นใจผมสงบลงมากแล้ว..มากเสียจนกรรมการบางท่านอาจจะแปลกใจ “ครับ…ผม..จะเล่าความจริง ให้ทุกท่านทราบ…ครับ” “อาจารย์ทุกท่านครับ ผมเกิดในต่างจังหวัด มีคุณพ่อคุณแม่เป็นครูประชาบาลชั้นผู้น้อย..คุณพ่อคุณแม่ผมมีลูกทั้งหมดเจ็ดคนครับ ครอบครัวเราจึงมีความลำบากทางการเงินพอสมควร แต่คุณพ่อคุณแม่ผมท่านก็พยายามกระเหม็ดกระแหม่เงินเดือนที่ได้รับค่อนข้างน้อยเพื่อรวบรวมส่งให้ผมและน้องๆเรียน โดยหวังจะให้ลูกๆได้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่ท่านจะทำให้ลูกๆได้..เพราะท่านบอกผมและน้องๆอยู่เสมอๆว่านอกจากการศึกษาแล้วท่านก็ไม่มีสมบัติมีค่าอื่นใดจะให้อีก..ในวัยเด็กผมเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านเกิด ผลการเรียนก็ดีพอสมควร ต่อมาเมื่อย้ายเข้ามาพักกับน้าชายเพื่อสะดวกในการเข้าเรียนในชั้นที่สูงขึ้นในตัวเมืองของอีกจังหวัดหนึ่ง ผลการเรียนของผมในช่วงประถมจนถึงมัธยมต้นก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี สอบได้ก็ไม่เคยต่ำกว่า ร้อยละ 80 เลย ดังนั้นหากเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันก็อยู่ในอันดับ 1-5 มาตลอด …..เมื่อจบชั้นมัธยมต้นผมก็เดินทางเข้ามาเรียนมัธยมปลายในกรุงเทพฯ ความอิสสระของชีวิตในกรุง..ประกอบกับการย่างเข้าสู่วัยรุ่นทำให้ผมเริ่มเกเร ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หนีเรียนจนจบ ม.ศ. 5 ด้วยคะแนนร้อยละ50.00 จนไม่สามารถสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ในปีแรก ในปีที่สองแม้จะสอบเข้าเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าได้ แต่ผมก็ยังไม่ได้สำนึกเอาแต่กินเหล้าเมายาจนต้องถูกรีไทร์ ตั้งแต่เทอมแรก…เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น…ผมมาคิดทบทวนดูแล้ว..เห็นว่าชีวิตผมที่ผ่านมาช่างไร้สาระสิ้นดีไม่เพียงทำลายอนาคตของตัวเองหากยังทำลายความหวังของพ่อและแม่..รวมทั้งคนอื่นๆที่รักผมด้วย อาจารย์ทุกท่าน..ครับ…จากวันที่ผมเริ่ม..คิดได้…ผมเลิกดื่มเหล้า ผมนั่งอ่านแต่หนังสืออ่าน อ่านแล้วก็อ่าน ในหกเดือนนี้ผมแทบไม่ได้ไปไหนเลยครับ…หนึ่งนั้น..เพราะผมไม่มีเงินเนื่องจากผมไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านมา 5-6 เดือนแล้ว ผมอาศัยอยู่กับเพื่อนดังนั้นนอกจากกินข้าวกับพวกเขาพักที่หอของเขาโดยไม่ต้องจ่ายเงินช่วยแล้ว ผมก็ไม่อยากรบกวนเพื่อนๆในเรื่องอื่นๆอีก..แม้เขาจะเต็มใจช่วยเหลือผม รวมทั้งยินดีจ่ายเงินเลี้ยงผมก็ตาม…อีกอย่างหนึ่งผมอยากอ่านหนังสือเพื่อให้มั่นใจว่าผมจะสามารถสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่แห่งนี้ตามที่เลือกไว้หลายคณะ จะได้ลบความผิดหวังที่ผมสร้างขึ้นในใจของพ่อกับแม่ผม…ซึ่งทำให้หลังจากที่ทำข้อสอบสอบแล้วผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมทำข้อสอบได้ดีกว่าทุกครั้ง ที่ผมเคยสอบมาครับ…ทั้งหมดนี้คือความจริงที่ผมอยากจะเรียนอาจารย์ทั้งหลายครับ” ผมหยุดการตอบอย่างยืดยาวลงและรู้สึกโล่งใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอกเพราะรู้สึกว่าผมได้ทำหน้าที่ของตนเองจบลงแล้ว แต่ก็น่าแปลกใจนะครับ ในขณะที่ผมตอบแบบร่ายยาวอยู่นั้นไม่มีอาจารย์ท่านใดขัดจังหวะผมเลยและไม่มีใครถามอะไรผมอีก “เธอออกไปรอข้างนอกก่อนนะแล้วไปพบอาจารย์ที่ห้อง”อาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวขึ้น..ผมมาทราบชื่อท่านภายหลังว่าท่านชื่ออาจารย์พรรณี ประจวบเหมาะ ท่านเป็นอาจารย์ฝ่ายกิจการนิสิตของคณะฯ ผมลาอาจารย์ทุกท่านและออกมานั่งรออยู่อย่างสงบ ที่หน้าห้องสอบสัมภาษณ์..สักพักก็เห็นอาจารย์ทุกท่านค่อยๆทะยอยกันออกมาจนท่านสุดท้าย คืออาจารย์พรรณี ท่านเรียกผมไปนั่งคุยที่โต๊ะทำงานของท่าน ก่อนจะมอบแบบฟอร์มให้ผมชุดหนึ่งเป็นแบบฟอร์มขอทุนจากคณะฯ “เอาไปกรอกให้เรียบร้อย แล้วเอามายื่นให้อาจารย์วันที่มามอบตัว” ณ.วินาทีนั้นผมคิดว่าว่าผมทำสำเร็จแล้ว เมื่อผมพูดทุกอย่างตามความจริง ความจริงก็ช่วยผมและอาจารย์ทุกท่านพร้อมที่จะฟังความจริงและพร้อมที่จะให้โอกาสให้ผมได้ทำสิ่ง…ที่ถูก…สักครั้งเพื่อผมจะได้ทำสิ่งที่ถูกครั้งต่อๆไป….ไม่ใช่เพื่อตัวผมหากเพื่อพ่อและแม่และทุกคนที่รักผม หากไม่มีความเข้าใจจากอาจารย์ทั้งสิบท่านในวันนั้น…..แม้ว่าในตอนเริ่มต้น ผมคิดว่า อาจารย์หลายท่านอาจสงสัยกระทั่งบางท่านอาจจะเข้าใจไปแล้วก็ได้ ว่าผมทุจริตในการ สอบเพราะเหตุการณ์มันสามารถชวนให้เชื่อและคิดอย่างนั้นได้จริงๆเสียด้วย เพียงแต่ทุกท่านให้โอกาส..ผมชี้แจงและรับฟังผมพูด..อย่าง ค่อน ข้างยาว ดังผมว่าไป ผมเล่าเรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการอะไรหรอกครับ นอกจาก..อยากให้เป็นอุธาหรณ์ให้กำลังใจ และเป็นบทเรียนสำหรับบางคน โดยเฉพาะเด็กๆวัยรุ่นที่เคยทำผิดมา ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก…หากเธอต้องการจะทำสิ่งที่ถูกสักครั้ง..ก็จงทำเถอะนะ….ทำด้วยความจริงใจ..ในโลกนี้..บางครั้งสำหรับคนแบบพวกเราแล้ว..บางเวลาแม้จะเหมือนอยู่ตัวคนเดียว แต่เชื่อเถิด ครับว่า….ถ้าคิดว่าอยากทำสิ่งที่ถูกสักครั้ง..แม้อาจไม่สำคัญในสายตาผู้ใดเลย…แต่มันก็จะสำคัญมากเสมอสำหรับคนที่รักเรา..และเชื่อเถิดว่าหากเราตั้งใจและเริ่มลงมือทำอย่างจริงจังและจริงใจ แม้จะมีความระแวงในตัวเราอยู่บ้างจากบางคน..ก็อย่าหวั่นไหว..เพราะสุดท้ายก็จะมีคนเข้าใจและจะคอยให้โอกาส..แก่เราอยู่เสมอ เรื่องนี้..อาจไม่มีสาระและประโยชน์มากนัก..หรือแทบไม่มีประโยชน์เลย สำหรับทุกท่านที่ทำทุกสิ่งหรือส่วนใหญ่อย่างถูกต้องและทำดีอยู่แล้ว..ครับ…แต่หากจะมีประโยชน์ บ้าง..แม้เล็กน้อย..สำหรับบางคน ผมก็พอใจแล้วครับที่ได้เขียนมาเล่าให้ฟัง …………………………………………………… “อาจารย์ยังไม่กลับบ้าน เหรอคะ” เสียงแม่บ้านทักทาย..ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ “จะรับกาแฟ อีกหรือเปล่า คะ.” เธอถามอย่างมีน้ำใจ… ”อ้อ..ไม่ละครับ…ผมกำลังจะเก็บของกลับบ้านอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว..หละ ครับ..ตามสบายนะครับ” ผมตอบกลับไป..เพราะรู้ว่าเธอต้องไปดูความเรียบร้อยๆตามจุดอื่นๆอีก…เพราะตอนนี้ก็ 2 ทุ่มกว่าแล้ว… หากไม่มีบางคนเข้าใจในวันนั้น ผมก็ไม่ทราบว่าวันนี้…ผมจะเป็นเช่นไร…ขอบคุณครับ..อาจารย์..คณะกรรมการสอบสัมภาษณ์ในวันนั้นที่เข้าใจและให้โอกาส…..แก่ผมและทำให้ผมได้มีวันนี้…..ขอบคุณอีกครั้ง ครับ
|