Monday, March 30, 2009

เข้าป่า….



“ชิงชัย ระหว่างเรียนกับงานคุณเลือกอย่างไหน…..???” ประภพ ถามผม หลังจากที่เราทักทายกันเรียบร้อยแล้ว และนั่งลงคนละฟากของโต๊ะนั่งเอนกประสงค์ ที่บริเวณใต้ตึกนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในราวๆต้นปี 2519
เราทั้งสองเป็นสมาชิกของกลุ่มนักศึกษาที่จัดตั้งขึ้นและเรียกตัวเองว่า “สหพันธ์นักศึกษาเสรี” ผู้ริเริ่มและก่อตั้งคือ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล แต่ระยะหลังๆก็ถอยๆออกไปนัยว่าเพื่อให้รุ่นหลังๆขึ้นมารับผิดชอบแทน

สหพันธ์นักศึกษาเสรี จัดตั้งขึ้นเพื่อรวมกลุ่มนักศึกษาจากทุกมหาวิทยาลัย เพื่อทำงานกับกรรมกรในโรงงานและชาวนาในชนบท ในระยะแรกก็มีการทำงานการเคลื่อนไหวทั้งด้านกว้างและด้านลึกทั้งในเมืองและในชนบทผมเองนั้นรับผิดชอบการทำงานอยู่ใน อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ การทำงานที่นั่นก็เป็นการจัดตั้งและขยายการจัดตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย โดยอาศัยการรวมตัวกันคัดค้านการสร้างเขื่อนชีบน เป็นสาระในการให้การศึกษาและปลุกระดมให้เข้าใจปัญหาเฉพาะหน้าของพวกเขา และเมื่อชาวนาได้ลุกขึ้นมากล้าต่อสู้กับอำนาจรัฐในปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว จึงมีการจัดกลุ่มให้การศึกษาทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พวกเขาจัดตั้งกันเป็นขบวนการชาวนาที่เข้มแข็งเพื่อต่อสู้ทางการเมืองละชนชั้นต่อไป

ในปลายปี 2518 เมื่อการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างทั้งสองฝ่าย ซ้ายและขวา สังคมนิยม และเผด็จการ เริ่มเข้มข้นขึ้น การข่มขู่คุกคามจากฝ่ายอำนาจรัฐ และมวลชนจัดตั้งของกองกำลังฝ่ายขวาจัดก็ค่อนข้างแรงขึ้น พวกเราเองซึ่งถูกจัดอยู่ในฝ่ายซ้ายก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้โดยตรง เพราะที่ตั้งของสหพันธ์นักศึกษาเสรีตอนนั้นอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราจะต้องมาประชุมกันแทบจะทุกเดือน เพื่อประชุมร่วมกับสมาชิกที่ทำงานอยู่ในจังหวัดและภูมิภาคอื่นๆ เช่นอุดรธานี พิษณุโลก รวมทั้งกลุ่มที่ทำงานอยู่ตามโรงงาน หลังจากประชุมเสร็จก็จะแยกย้ายกลับไปทำงานที่รับผิดชอบอยู่กันตามปกติต่อไป สำหรับพวกผมก็ต้องกลับเข้าไปทำงานเกาะติดกันอยู่ในหมู่บ้านในอำเภอหนองบัวแดง ชัยภูมิ ดังที่เล่ามาข้างต้น แต่การเข้าหมู่บ้านพวกเราพักหลังๆมักจะถูกดักกลุ้มรุมทำร้ายกันซึ่งหน้าเมื่อลงรถที่ตัวอำเภอ จากบุคคลที่เป็น อส. ซึ่งเป็นกำลังติดอาวุธของทางการในระดับอำเภอในยุคนั้น จนพวกเราไม่สามารถเข้าออกหมู่บ้านได้อีกเลย
.
ในระยะต้นปี 2519 จึงมีการตัดสินใจถอนกำลังทั้งหมดกลับเข้าเมือง และเตรียมการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ในเขตุป่าเขา ต่อไป ผมทราบว่าสหพันธ์นักศึกษาเสรีได้มีการส่งคนบุกขึ้นไปเจรจากับฝ่ายนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย บริเวณเทือกเขารอยต่อสามจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์และเลย เพื่อให้ส่งคนมานำการต่อสู้ต่อไป เพราะพวกเราทั้งหมดทั้งที่เป็นนักศึกษาและกรรมกร ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยอาวุธในเขตป่าเขาเลยแม้แต่คนเดียว เรื่องนี้ผมมาทราบภายหลังว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้ตัดสินใจเปิดเขตุการต่อสู้เขตุนี้เป็นพิเศษ โดยส่งกำลังมาเพียงสามคน แต่ให้กำลังส่วนใหญ่ที่จะทำงานต่อไปเป็นกลุ่มสหพันธ์นักศึกษาเสรี ที่ทำงานอยู่เดิมเป็นกำลังสำคัญ และคำถามของคุณประภพ ที่ถามผมนั้นคือภาพต่อขยาย จากการที่สหพันธ์นักศึกษาเสรีได้ตัดสินใจต่อสู้ด้วยอาวุธ ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ที่กล่าวมานั่นเอง

“เราต้องการคนจำนวนหนึ่งไปทำงานฝังตัวแบบปิดลับ ในหมู่บ้านรอบภูเขียว ไปอยู่ในหมู่บ้านไม่ต้องเข้าป่า...ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านไปก่อน…!!!” ประภพ กล่าวทิ้งท้าย ด้วยเสียงเข้มๆ

“ก็พวกเราสอนอยู่เสมอ ไม่ใช่เหรอว่า ให้ส่วนตัว ขึ้นกับส่วนรวม” ผมกล่าวตอบไป หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ด้วยน้ำเสียงแบบที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก

“ตกลงว่าคุณเลือกงาน ใช่ใหม..???” ประภพ ถามรุกย้ำ มาอีก เพื่อความมั่นใจ
“ครับ..!!!” ผมย้ำคำตอบเดิม

“เรามีเวลาให้คุณ สองสัปดาห์ เพื่อจัดการเคลียร์เรื่องส่วนตัวทุกอย่าง ให้เรียบร้อย แล้วเรามานัดพบกับอีกครั้ง เพื่อรับมอบภารกิจที่จะต้องทำ”ประภพสรุป
.
เรา..ผมและประภพ เด็กหนุ่มสองคนในวัยที่ห่างจากการครบเบญจเพสอีกหลายปี จบการสนทนาลงและแยกย้ายกัน เพียงแค่นั้น เพื่อเตรียมตัวไปรับภาระที่หนักอึ้ง สำหรับเด็กหนุ่มวัยเพียงแค่นั้น ภาระในการต่อสู้เพื่อปฏิวัติประเทศไทย

อยากกอบดาวราวดวงในห้วงฟ้า

เก็บเอามาเรียงร้อยเป็นสร้อยขวัญ

แล้วเก็บแสงแรงกล้าแห่งตาวัน

ล้อมด้วยจันทร์เพ็ญพร่างกลางสายลม

.

บางเหตุการณ์เลยผ่านไม่นานนัก

ยังทอถักใยฝันไม่ทันสม

ปล่อยหัวใจไหวว่างอย่างตรอมตรม

เงียบระงมมาทวนซ้ำ..เหยียบย้ำรอย

.

ผมและเขาและผู้คนอีกจำนวนมาก ได้เข้าร่วมภาระกิจการต่อสู้ด้วยอาวุธที่ต้องเสียเลือดเนื้อของพี่น้องคนไทยทั้งสองฝ่าย เป็นเวลาต่อมาอีกหลายๆปี เคยมีคนถามผมว่า เมื่อโตขึ้นมาขนาดนี้ หากผมเลือกได้ผมจะตัดสินใจแบบนั้นอีกหรือไม่ ผมมักตอบว่าด้วยสถานการณ์แบบนั้น เมืองการปกครองแบบนั้น การคุกคามทำร้ายแบบนั้น ผมคงเลือกตัดสินใจเป็นอย่างอื่นได้ยาก และชีวิตเราทุกคน…บางครั้งการตัดสินใจ เลือกทางเดินชีวิตที่มีผลต่อเนื่องกับชีวิตทั้งชีวิตของเรา ก็มักจะเกิดขึ้นในวัยก่อนเบญจเพส ทั้งนั้น ใช่หรือ..ไม่..???

ด้วยวัยและวุฒิภาวะ ที่ยังไม่พร้อม กับการตัดสินใจขนาดนั้น แต่ต้องอย่าลืมว่า คนในวัยนั้น ขนาดของหัวใจ ของเขามักจะใหญ่เกินกว่า วัยและวุฒิภาวะ อย่างแทบจะเทียบกันไม่ได้

ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพราะเมื่อวานผมนั่งคุยกับน้องๆเรื่องปัญหาในภาคใต้ และการปลุกระดมเยาวชนหนุ่มสาวให้เข้าไปต่อสู้ด้วยอาวุธ ในป่าเขา ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมีความเหมือนกันอย่างยิ่งกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว

หรือแท้ที่จริงแล้วสังคมไทยไม่ได้โตขึ้นเลย ทางการเมือง….เพราะสถานการณ์ในสามจังหวัดภาคใต้ เหมือนย้ำกับผมว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลง.ไปนั้น เป็นเพียงแค่สถานที่ ผู้คน และวันเวลา เท่านั้น แต่สาระของปัญหานั้นแทบจะยังคงเหมือนเดิม…..



……………………………..

Tuesday, March 17, 2009

Sufficiency Economy: The new direction for Thai Society



Today, President Barrack Obama mentions that the economic crisis in the USA will be end this year and next year it will be better. In Thailand, many exporter companies still lay off their employees or at least cut off their employees’ overtimes. Many people said that about one million people will become unemployed during the crisis. In the meeting of G 20 countries last week, there are different views points for solution between USA and EU countries. USA stills going to use government budget to help solve Finance Coperations’ bankrup. While EU countries want the Financial institutions to learn from their own mistakes. Thailand is also face with this crisis as well. However, we can see this crisis from positive point of views. This crisis may bring us, Thai people move into the new era of development.

If we consider everything in this world, they are all in changing situation. World society as well as Thai society is also in this changing process. The changes covered all aspects in economy, polity, society and environment. These changes sometimes happening slowly, but in some certain times they happened even faster. Particularly this period of time the changing is very fast, widely and deeply. We can say in another word that it changed in landscaping of our society. There are many great thinkers explained these changes in different ways. The two gurus of Marxism, Carl Marx and Frederic Angel mentioned that human society started from Primitive Society then moved to Feudal Society then Capitalist, Socialist and Finally Communist Society at the end. Marx and Angel believed that in changing are quantity changes and quality changes. In quality changes society needs revolution with violent process. The changes must be done by the disadvantages people in the society. Next management guru, Peter F. Drucker, said that at present most society in this world are moving from capitalist society into knowledge based society. He mentioned that in the new society make the used knowledge, practice, concept and method that we currently used out of date. Human being need to improve and to innovate new knowledge, new practice, new concept and new method for this new society. Changing in Drucker’s view has to be revolution but it is not need violence struggle. He suggested that the management revolution for this changing process. The other great thinker and writer, Alvin Toffler, also said that our world started from Agricultural wave and move to second wave of industrial wave. Now it will move again to the third wave of information age. The last guru that I want to present here is Stephen R. Covey, a leadership development guru. He classified economy into five eras, from the hunter era, to agricultural development era, and then industrial era and finally to information era and next will be knowledge based era.

At this step we can conclude that our society is changing to become a society that a move of knowledge from one field of occupation to other fields of occupation is easier than before. There will be no limit in term of a different type of job, no limit in time and place any more. Learning network need to be built. People network and organizational network need to be built at the wider level as must as we can do as well. These could be done through an information technology that is no limit. These changes will bring the move of power and influence in our society and our world. These moves are affected to all countries, all geography and all groups of people as much more than ever happened in the old ages of development.

In order to coup with this new situation, we need to answer all questions that come with the coming changes as mentioned. Leadership roles, organization management need to be revised in government agencies, in businesses, in societies as well as in people associations. The needs for these organizations, associations and societies whether they can develop visionary, missions, plan and operation that fit and response to the problems they faced or not. Moreover, organizations, associations, and societies also must manage these changes to make valuable used of resources for highest benefits and sustainability for development of human being in this globe. This understanding is very important not only for leader for current society but also the leader of future society as well.

Most important thing for Thai people to survive and over come this crisis is “Sufficiency Economy”. “Sufficiency Economy” is quite a unique philosophy for us to coup with the changes, which is mentioned above. “Sufficiency Economy” is a philosophy bestowed by His Majesty the King to his subjects through royal remarks on many occasions over the past three decades. The philosophy points the way for recovery that will lead to a more resilient and sustainable economy, better able to meet the challenges arising from globalization and other changes.

“Sufficiency Economy” is a philosophy that stresses the principles of the middle path, balancing acts and moderation that people can apply to use in their days to days life. “Sufficiency Economy” also discussing a protection of oneself against inevitable shocks and problems that arise. To achieve this philosophy, the application of knowledge with prudence is essential. At the same time, it is essential to strengthen the moral practice of the nation, as well. In order to make this philosophy happened in people days to day’s life a new theory is also applied to conduct at the level of the individual, families, and communities.

In Thailand many people have tried this philosophy and theory. Many walks of life try and have their own successful practices, particularly since the last economic crisis in 1997. They find solutions for their occupations and their lives. That is the reason while I write this article to share with any people who are interested to learn from Thai experiences. I hope that we can learn and share more on this topic in the future.

”””””””””””””””””””””””



ยามค่ำ

 

………………………………

 

ฟ้าสีฟ้า หม่นไป เหมือนในฝัน

ดวงตะวัน ทาบลง ตรงเหลี่ยมเขา

เมื่อหมอกควัน เหมือนฉากจาง ดูบางเบา

ไม้ทอดเงา รายร่าง อย่างอ่อนใจ

.

แสงยามบ่าย คล้ายฟ้า ตากผ้าอ้อม

แดงแดดย้อม สาดทับ กับยอดไผ่

แพรผืนดำ กำลัง คลุมบังไพร

ถักทอใย ขึ้นห่มฟ้า คราไร้จันทร์

.

ได้แต่รอ ให้ดาว พร่างพราวฟ้า

เพื่อนำพา สองดวงใจ เฝ้าใฝ่ฝัน

ส่งคำตอบ ข้ามขอบฟ้า มาหากัน

ชี้ชมนั่น ดาวสวย ด้วยอยู่ไกล

.

ดาวคันไถ อยู่ที่โน่น กลางโพ้นฟ้า

เคียงคู่อยู่ ด้านขวา ดาวลูกไก่

ดาวคันชั่ง ลอยคว้าง ห่างไกลไกล

เหมือนดวงใจ  เหงาเหงา  เราคนคอย

.

ฟ้าสีฟ้า หม่นไป ไม่เหมือนฝัน

ดวงตะวัน ทาบเงา ดูเหงาหงอย

เมื่อไฟควัน หมอกเคลื่อน ดูเลื่อนลอย

ใจคนคอย จึงฝันคว้าง เหมือนอย่างเคย

………..

 

 

ยามค่ำ

บ้านแม่แลบ  แม่ลาน้อย  แม่ฮ่องสอน


ประชาธิปไตยคุณภาพ: ทางออกสังคมไทย



การเมืองไทยปัจจุบันและอนาคตที่ท้าทาย

ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง ผมก็มีความรู้สึกเหมือนๆกับเพื่อนร่วมชาติทุกคนว่า ประเทศไทยวันนี้เกิดอะไรขึ้น และเราจะเดินไปทางไหน ปัญหาความขัดแย้งที่แผ่ซ่านไปทุกหย่อมหญ้าจะไปสิ้นสุด ณ จุดไหน ผมเองเมื่อพบปะบรรดามิตรสหาย ก็จะถูกถามด้วยคำถามที่ว่านี้อยู่แทบจะทุกครั้งที่พบหน้าเพื่อนฝูงเหล่านั้น สิ่งดังกล่าวนี้คือแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้สนใจเขียนบทความนี้ขึ้นมา

ปัญหาต่างๆที่เราประสบอยู่ แม้จะมีรากเหง้ามาจากปัญหาหลายๆด้าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหามันมารวมศูนย์อยู่ที่เรื่องการเมือง และก็ปฏิเสธอีกไม่ได้ว่าข้อถกเถียงที่สำคัญคือเรื่อง ประชาธิปไตยขณะที่ฝ่ายหนึ่งบอกว่า หากจะเอาประชาธิปไตย ก็ต้องยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หากมีปัญหาอะไรทางการเมือง ก็แก้กันในกรอบของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็มองว่า ประชาธิปไตย จะมองเพียงการเลือกตั้ง อย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมองคุณภาพของประชาธิปไตย ด้วย จากการถกเถียงของประเด็นดังกล่าว ได้นำไปสู่ความขัดแย้งที่ขยายตัว ออกไปอย่างกว้างขวาง และแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน ซึ่งหลายกลุ่มได้กำหนดแนวคิดทางการเมืองและสัญลักษณ์ของตนเองขึ้นอย่างชัดเจน เช่นสีแดงของกลุ่ม แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ยึดเอาการเลือกตั้งเป็นสรณะ กลุ่มนี้เริ่มต้นจากการที่เห็นว่าการที่คณะปฏิรูปการเมืองการปกครองฯ (คปค.). ได้ทำการยึดอำนาจเมื่อ วันที่ 11 กันยายน 2549 นั้นไม่ชอบธรรม เพราะไปล้ม รัฐบาล ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นรัฐธรรมนูญ 2550 ที่เป็นผลพวงอันเกิดจาก คมช. ก็ไม่ชอบธรรมไปด้วย กลุ่ม นปช. นี้ถูกมองว่าดำเนินการอย่างเชื่อมโยงกับระบอบทักษิณและสนับสนุนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเต็มที่ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)ซึ่งก่อตัวขึ้นตั้งแต่ปลายรัฐบาล ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพราะมองว่ารัฐบาลดังกล่าวได้สร้างระบอบทักษิณ อันเป็นเผด็จการรัฐสภาขึ้น โดยการใช้เงินซื้อเสียง ซื้อพรรคการเมือง มีการแทรกแซงองค์กรอิสสระ จึงมีการก่อตัวโดยการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง มาจนเกิดการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน จึงหยุดดำเนินการไประยะหนึ่ง มาก่อตัวขึ้นอีก เมื่อการเมืองไทย มีการเลือกตั้งภายใต้ รัฐธรรมนูญ ปี 2550 และได้รัฐบาลผสมที่มากการจัดตั้งของพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีพรรคพลังประชาชน เป็นแกนนำ โดยพันธมิตรฯมองว่าพรรคพลังประชาชน นั้นคือตัวแทน หรือนอมินี ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินยุบพรรค ไปนั่นเอง จึงทำให้ พธม. เห็นว่าการบริหาราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใหม่นี้ตกอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ เหมือนเดิม จึงมีการคัดค้านรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช ที่มาจากพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ และการคัดค้านนี้มาประทุขึ้นเป็นการชุมนุมอย่างยืดเยื้อเมื่อ พรรคพลังประชาชนและรัฐบาลยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา237 และมาตรา 190 ซึ่งพันธมิตรเห็นว่าเป็นการแก้ไขเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณและพวกพ้อง ที่ถูกลงโทษถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปก่อนหน้านี้แล้ว กลุ่มพันธมิตรฯใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ และเสนอเรื่องการสร้างการเมืองใหม่ เป็นเป้าหมายของกลุ่ม ส่วนกลุ่มที่ สามคือกลุ่มที่ไม่เอาทั้งสองกลุ่มและเรียกร้องความเป็นกลางและความสมานสามัคคี ของคนในชาติ เป็นหลัก กลุ่มนี้ใช้ สีขาว เป็นสัญลักษณ์ ความขัดแย้งในสังคมการเมืองนำไปสู่ความรุนแรงหลายๆครั้งและครั้งสุดท้ายคือการเข้าการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยตำรวจ เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้เข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา การสลายการชุมนุมดังกล่าวเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีก 400 กว่าคน และความขัดแย้งยังคงลุกลามต่อไป อย่างไม่รู้จุดที่จะสิ้นสุดที่ไหน

ในความเห็นของผู้เขียน มองว่า เราสามารถแยกทางแก้ปัญหาออกเป็นสองส่วน คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นั้นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่างๆ ทั้งรัฐบาล นปช. พธม. และประชาชนอย่างเรา ก็ต้องพยายามติดตามสถานการณ์และช่วยกันแก้ไขกันไปตามกำลังความสามารถและตามสถานการณ์ แต่ที่ผมอยากจะแลกเปลี่ยนด้วยในเอกสารบทความนี้ก็คือการแก้ไขปัญหาระยะยาว ซึ่งความเห็นของผม คือการพัฒนาระบอบการเมืองไทยไปสู่ระบอบประชาธิปไตยคุณภาพ

อะไรคือประชาธิปไตยคุณภาพ ?

ประชาธิปไตยคุณภาพ คือการนำเอาระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย มาผสมผสานกับบริบทของสังคมไทยอย่างเหมาะสม หรืออาจหมายถึงพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในสังคมไทย อย่างจริงๆจังๆมากกว่าจะพอใจเพียงประชาธิปไตยแบบมีแต่เปลือกเหมือนที่เป็นอยู่ ซึ่งผมมองออกเป็นสามประการ ดังนี้

ประการแรก การเข้าสู่อำนาจของคณะรัฐบาลและสภาผู้แทน ต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งปัจจุบัน ที่มีเฉพาะระบบแบ่งตามพื้นที่อย่างเดียว และได้นักการเมืองกลุ่มเดียวและส่วนใหญ่ได้คนไม่ดี จำพวกผู้ค้ายาเสพติด เจ้ามือหวยเถื่อน เจ้าพ่ออิทธิพล เข้ามา เป็นต้น มาเป็นการเลือกตั้ง มาจาก 3 ส่วน คือ โดยที่หากเราใช้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทน จำนวน 450 คน เป็นเกณฑ์ควรเลือกแบบแบ่งเขตุแบบเดิมเพียง 150 คน และมาจากการรวมเขตแบบสัดส่วนอีก 150 คน ส่วนอีก 150 คนให้เลือกโดยยึดกลุ่มอาชีพ และชนเผ่า ทั้งนี้เพื่อให้ได้ตัวแทนที่หลากหลายและสะท้อนความเป็นตัวแทนของปวงชนอย่างแท้จริง ซึ่งในรายละเอียด ยังจะต้องพูดถึงองค์กรอิสสระและที่มาด้วย แต่ในส่วนการเข้าสู่อำนาจ ผมคิดว่าประเด็นเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในขณะนี้ ประเด็นนี้ถือเป็นประเด็นของประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) ที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน

ประการที่สอง ต้องมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของประชาชนในการบริหารงานของรัฐในทุกระดับ ตั้งแต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงทบวง กรม ต่างๆ และในทุกๆด้าน เช่นการดำเนินนโยบายและกิจการของรัฐขนาดใหญ่ ต้องมีการสร้างกระบวนการให้ตัวแทนผู้มีส่วนได้เสียมามีส่วนร่วมในการคิด การตัดสินใจ และการบริหารงานอย่างจริงจัง เหมือนดังเช่นการที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร คณะกรรมการกองทุนอ้อยและน้ำตาล รวมทั้งอีกหลายหน่วยงานกำลังดำเนินการอยู่ การดำเนินการในลักษณะนี้ คือการตอบสนองต่อปัญหาของระบอบการเมืองที่เรียกว่าประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participative Democracy)นั่นเอง

ประการที่สาม คือการสร้างการเมืองภาคประชาชนให้เข้มแข็ง และกลไกรัฐก็ต้องส่งเสริมการดำเนินงานขององค์กรภาคประชาชนให้มีการดำเนินงานอย่างมีคุณภาพให้มากขึ้น รัฐจะต้องดำเนินให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์และประชามติ ในเรื่องสำคัญๆ รัฐต้องสนับสนุนการดำเนินงาน และบทบาททางการเมืองของสภาองค์กรชุมชน สภาพัฒนาการเมือง สภาเกษตรกร (ที่กำลังดำเนินงานอยู่) องค์กรประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน สภาอุตสาหกรรม หอการค้า และสมาคมวิชาชีพต่างๆ อย่างจริงจัง รัฐจะต้องจัดให้ภาคประชาชนเหล่านี้เข้าไปใช้สถานที่ งบประมาณ และทรัพยากรอื่นๆของรัฐ ในประชุม สัมมนา แสดงความคิดเห็น ได้โดยสะดวก แม้กระทั่งจัดสถานที่ถาวรที่ประชาชนผู้เดือดร้อนสามารถจัดชุมนุมทางการเมือง เช่นเป็นลานเอนกประสงค์ในบริเวณจุดศูนย์กลางอำนาจรัฐในแต่ละระดับได้อย่างไม่มีการปิดกั้น แน่นอนก็คงต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายบ้านเมือง และเพื่อให้การแสดงออกโดยตรงของประชาชนที่เรียกว่าประชาธิปไตยทางตรง(Directed Democracy) นี้ให้มีประสิทธิภาพ รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องส่งเสริมการให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ทางการเมืองและประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง ในลักษณะกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Socialization) อย่างเต็มที่นั่นเอง

การเสนอความคิดเห็นดังกล่าวนี้ ก็เพื่อต้องการแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้สนใจปัญหาบ้านเมืองในขณะที่สภาวะสังคมไทยเราก็กำลังถูกท้าทายกับสภาพการณ์และคำถามใหม่ๆ ที่ต้องตอบ และกำลังมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่อย่างรุนแรงในขณะนี้ เพื่อที่จะช่วยกันประคับประคองและผลักดัน ไปสู่การพัฒนาสังคมไทย อย่างเหมาะสม ผู้เขียนยังมีความเชื่อว่าสังคมไทยที่การพัฒนาการและประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของตนเอง ยังมีภูมิปัญญาที่มีค่าอนันต์ซ่อนอยู่ และหากเราสามารถช่วยกันคิด เสนอแนะ แสดงออก และร่วมกันดำเนินการให้สังคมเราฟันฝ่าวิกฤติ ครั้งนี้ไปได้ เราไม่เพียงแต่แก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่เท่านั้น หากเรายังจะสามารถแบ่งปันองค์ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ในครั้งนี้ให้กับสังคมอื่นๆในโลกใบนี้ ที่กำลังเผชิญปัญหาในลักษณะคล้ายๆกันอีกด้วย

Friday, March 13, 2009

การพัฒนา..”การศึกษาบนพื้นที่ไซเบอร์”


ยุคสมัยนี้ที่เป็นโลกยุคโลกาภิวัตน์ เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากพลังขับเคลื่อนของเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอ ที ในโลกยุคปัจจุบันอินเทอร์เน็ต กลายเป็นสื่ออย่างใหม่ที่มีอิทธิพลต่อการติดต่อสื่อสารของมนุษย์เป็นอย่างมาก อีกทั้งหากเราได้ติดตามข่าวสารต่างๆ จะเห็นได้ว่าในการพัฒนาขึ้นของระบบคอมพิวเตอร์และระบบโทรคมนาคม ในสภาพปัจจุบัน ได้มีการผสมผสานทางเทคโนโลยีจนเกิดเป็นโลกเสมือนขึ้นมา ในโลกเสมือนดังกล่าวนี้ประกอบไปด้วยองค์กรเสมือน เครือข่ายเสมือน การติดต่อในโลกเสมือน ซึ่งต่างก็แสดงบทบาทต่างๆคล้ายกับในโลกจริงๆ

ในโลกเสมือนดังกล่าวเราจะพบเห็นได้ว่ามนุษย์สามารถประกอบกิจกรรม ธุรกรรม หลายๆอย่างได้เหมือนในโลกจริงๆ ในโลกเสมือนนี้ อินเตอร์เน็ท เปรียบเสมือน “ของขวัญแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ” ที่สวรรค์ประทานมาให้กับมนุษย์ และเพียงแค่มนุษย์ใช้ปลายนิ้วสัมผัสบนคอมพิวเตอร์ มนุษย์ก็สามารถใช้อินเทอร์เน็ต ในการประกอบธุรกิจ ในการติดต่อสื่อสาร ในการเปิดโลกทัศน์ หรือแม้แต่การใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อการแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆได้โดยง่ายดาย แต่ในขณะเดียวกัน “สื่ออย่างใหม่” ชนิดนี้ ไม่เพียงสร้างคุณอนันต์ หากยังสร้างโทษมหันต์ให้กับมนุษย์อีกด้วย สื่อสารสนเทศเหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิด “ปัญหาอาชญากรรม” และยิ่งเวลาผ่านไปยาวนานเท่าไร ปัญหาอาชญากรรมอันเกิดบนโลกอินเทอร์เน็ต ยิ่งกลับทวีความรุนแรง และกลายเป็นปัญหาที่ซับซ้อน และเกิดขึ้นอย่างเรื้อรังที่อยู่คู่กับสังคมเสมือนเป็นเวลายาวนาน ในขณะที่ภาครัฐก็ไม่มีทีท่าว่าจะสามารถหาหนทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปได้ ตรงกันข้าม ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นภัยมืดที่ มอมเมา คุกคามชีวิตและสวัสดิภาพของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน เป็นบ่อเกิดของปัญหาอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต ขึ้น ดังที่ได้ฟังข่าวกันบ่อยๆ ดังนั้นการค้นหาวิธีการและแนวคิดใน
การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องมีการค้นคว้าและหาทางออกให้มากขึ้น

ในสังคมไทยปัจจุบัน เราอาจพบคนจำนวนมาก ที่ได้เข้าถึงโลกเสมือน นี้ โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน ก็ล้วนเป็นเพราะเพื่อนแนะนำ ขาดการได้รับความรู้ อย่างรอบด้าน ทั้งด้านความรู้และการปฏิบัติ ประโยชน์และโทษ รวมทั้งการป้องกันตนเอง และการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ในขณะที่ท่องไปในโลกใบใหม่ ดังกล่าว เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็คงแนะนำในแนวทางปฏิบัติ ตามที่ตนเองมีประสบการณ์ เป็นส่วนใหญ่

ต่อปัญหานี้ เท่าที่ผมพูดคุยด้วย มีบุคคลอยู่หลายกลุ่มที่มีท่าที แตกต่างกันในการแก้ไขปัญหา แต่พอจะแยกเป็น สองขั้ว ใหญ่ๆ คือ กลุ่มแรก มีความคาดหวังให้ มีการชี้ชัดไปถึง การสร้างระบบกฎหมายและระบบควบคุมอื่น เช่นระบบ คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และความรับผิดชอบ และกรอบความสัมพันธ์ทั้งหลาย อันได้เกิดขึ้นในโลกเสมือนจริง เป็นเสมือนหนึ่งว่ายกเอาโลกและสังคมจริงๆ มาจำลองไว้ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเลยทีเดียว พวกเขามองว่าหากดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ ก็ไม่ควรไปข้องแวะกับอินเทอร์เน็ทเอาเสียเลยทีเดียว สำหรับบุคคลเหล่านี้เขาจะมองเห็นแต่โทษภัยของพื้นที่ไซเบอร์แต่เพียงด้านเดียว ในขณะที่เราก็อาจพบคนอีกบางกลุ่มที่พยายามปกป้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจนเกินขอบเขต จนไม่คำนึงว่าอาจไปกระทบและละเมิดจนเกิดความเสียหายแก่สังคมและบุคคลอื่นๆ ตลอดจนอาจกลายเป็นช่องทางให้ผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์ต่างๆนั้นใช้เสรีภาพไปเป็นช่องทางในการกระทำการในเรื่องที่ผิดศีลธรรมจรรยา ไปจนกระทั่งกระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้นการพยายามหาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมและปฏิบัติได้จึงเป็นภาระของผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกส่วนจะต้องรีบดำเนินการให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

ดังนั้น หากเราเห็นว่าการที่เทคโนโลยีสารสนเทศได้มีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดการบูรณาการขึ้นเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นโลกเสมือนจริง และพื้นที่ไซเบอร์ ได้เกิดผลประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างมากมายมหาศาล ไม่เพียงแต่ในด้านการติดต่อสื่อสารข้อมูลสารสนเทศเท่านั้น หากยังได้มีการขยายกิจกรรมไปสู่การพาณิชย์ การศึกษา การจัดเก็บภาษี การค้นคว้าวิจัย การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าดังกล่าวก็ได้ส่งผลกระทบต่อสังคมและองค์กรอย่างมากมายเช่นเดียวกันโดยเฉพาะผลกระทบด้านลบ เช่นการล่อลวง การก่ออาชญากรรม การให้ร้าย การขโมยข้อมูลและรหัสลับ การค้าประเวณีและการค้ายาเสพติดทางอินเทอร์เน็ต การเผยแพร่ภาพที่ไม่เหมาะสมของบุคคลอื่น ตลอดจนการสื่อสารเพื่อการก่อการร้าย เป็นต้น ดังนั้นเพื่อที่จะลดความเสียหายจากผลกระทบทางลบเหล่านี้ให้บรรเทาเบาบางลง นอกจากมาตรการอื่นๆแล้ว การส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในหมู่ผู้ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเจ้าของเว็บไซต์ ผู้ประกอบอาชีพบนพื้นที่ไซเบอร์ และผู้ดำเนินกิจกรรมในโลกเสมือนจริง จึงเป็นเรื่องจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การพัฒนาระบบคุณธรรม จริยธรรมในโลกดังกล่าว การถามหาจรรยาบรรณของผู้ประกอบอาชีพในเครือข่ายโลกอินเทอร์เน็ต การพยายามทำความเข้าใจรายละเอียดของคุณธรรมและจริยธรรมในโลกเสมือนจริงและการพยายามสร้างจรรยาบรรณและองค์กรของผู้ประกอบวิชาชีพบนพื้นที่ไซเบอร์เพื่อมาดูแลควบคุมกันเองดังกล่าว ตลอดจนการพยายามให้องค์กรและสถาบันหลักๆในสังคมในโลกจริงได้เข้าใจและหาทางป้องกันสมาชิกของตนจากผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าวแล้วตอนต้น
จึงเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญมาก แต่อย่างไรก็ตามเราต้องไม่ทำให้ผู้คนคาดหวังว่า การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณในโลกเสมือนจริงนั้น จะต้องเหมือนการจำลองโลกจริงๆเข้าไปไว้ในพื้นที่ไซเบอร์เสียเลยทีเดียว เพราะการคาดหวังเช่นนั้นอาจเป็นการไม่เข้าใจธรรมชาติของการทำงานในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ทุกอย่างเป็นเรื่องไร้พรมแดน ทุกอย่างเป็นเรื่องสากล แต่ที่กล่าวมานี้ก็เพื่อส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม ประเพณี เฉพาะที่ดีงามของเราให้มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง และอยากให้คิดว่าความพอดีและเหมาะสมในการพัฒนาสิ่งเหล่านี้ในพื้นที่ไซเบอร์อยู่ที่ไหน เพื่อที่เราจะสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ทางคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณที่เหมาะสม และผลักดันให้มีการดำเนินการอย่างเป็นจริงให้เป็นผลสำเร็จได้นั่นเอง

ในสังคมทั่วไปเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า สถาบันการศึกษาต่างๆ นั้นมีประสบการณ์ในการสนับสนุนส่งเสริม การศึกษาที่สร้างทั้งความสามารถ ความมีคุณธรรมและจริยธรรมเพื่อสร้างอนาคตให้แก่เยาวชน เพื่อจบออกไปสร้างสังคม ชุมชนที่เป็นธรรมและชีวิตที่เป็นสุข ดังนั้นในพื้นที่ไซเบอร์ซึ่งเป็นเหมือนกับเป็นโลกใหม่อีกโลกหนึ่ง นั้น สถาบันการศึกษา จำเป็นหรือไม่ที่จะให้ความสำคัญให้มากขึ้น เพื่อให้สถาบันเหล่านี้ สามารถจัดการเรียนการสอนและมีกิจกรรมในพื้นที่ของโลกใบใหม่นี้ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้อง ในส่วนต่างๆของวงการศึกษา ช่วยกันคิด นะครับ เพราะผมเห็นว่า ทั้งโอกาส และปัญหาในโลกไซเบอร์อีกทั้งเฝ้ามองการเจริญเติบโต ของโลกดังกล่าวนี้ จนมีข้อสรุปว่า ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ทก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเยาวชน มีหลายองค์กร ได้มีการลงมือในเรื่องนี้ อย่างจริงจัง

แน่นอน ครับ นักการศึกษาที่สนใจเรื่องนี้ อาจจะต้องฝ่าด่านคำถาม ที่พวกผมเคยเจอกันมาก่อน เมื่อเริ่มต้นหลักสูตรปริญญาโท ออนไลน์ ที่มหาวิทยาลัยรังสิตเมื่อ 3-4 ปีก่อน เช่น จะรู้ได้อย่างไร ว่าเด็กเขาเข้ามาเรียน..??? จะสอบวัดผลกันอย่างไร..?? อย่างไรมันก็ไม่เหมือนการเรียนในห้องเรียน..!!! เอกสารทางออนไลน์ไม่น่าเชื่อถือเหมือนเอกสารหนังสือที่เห็นเป็นเล่มๆหรอก..!!!

แต่ไม่ว่า เราจะคิดอย่างไร โลกออนไลน์ก็มีอยู่จริง หากนักการศึกษาและบุคคลผู้มีหน้าที่ฝึกอบรมเยาวชน ลูกหลานของเรา ไม่สนใจเข้าไปทำอะไร เป็นชิ้น เป็นอันให้มากขึ้น ก็จะเป็นการปล่อยให้กิจกรรมการศึกษาบนพื้นที่ดังกล่าว ตกอยู่ในสภาพที่ไร้ระบบและประสบกับความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง

ท่านละครับ คิดอย่างไร ในการพัฒนา”การศึกษาในโลกเสมือน” ดังกล่าวให้เป็นโลกที่มีประโยชน์ มากกว่า โทษ เพื่อที่ๆลูกหลาน เยาวชน ของเราเข้าไปท่องเว็บต่างๆ ได้โดยเราไม่ต้องเป็นกังวล มากนัก เช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้..

ผู้ร่วม…”ชะตากรรม”

ผู้ร่วม…”ชะตากรรม”..!!!

หลังจากน้องที่อยู่เวรกะดึกที่บริษัทฯ โทรฯมาแจ้งว่าพนักงานหญิงที่บริษัทฯถูกรถกระบะชนเสียชีวิตขณะเดินข้ามถนนบางนาตราด เพื่อเตรียมรอขึ้นรถมาทำงาน ผมอึ้งไปชั่วขณะก่อนถามว่า “แล้วตอนนี้วิชัยอยู่ที่ไหน” วิชัยคือน้องที่ทำงานกะดึกที่ โทรฯมาหาผม

“ผมอยู่ที่โรงพยาบาล ครับ” เขาเอ่ยชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งผมรู้จักดี เพราะเมื่อมีเรื่องแบบนี้ หลายครั้งที่เด็กจะถูกส่งตัวไปที่นั่น
“ผมกำลังช่วยเคลียร์ เรื่องที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตาม พรบ.อยู่นะครับ” วิชัยตอบมาตามสาย
“ทราบรถคันที่ชนมั๊ย แล้วคนขับรถคันนั้นละ จับได้ไหม ?” ผมยิงคำถามต่อ ด้วยความกังวลใจ

โรงงานที่ผมทำงานเป็นโรงงานของบริษัทต่างชาติ ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตุอุตสาหกรรมเวลล์โกรว์ ตรง ถนนบางนาขตราด ช่วง กม.๓๖ ที่บริษัทฯเราทำงานกันทั้งคืนทั้งวัน พนักงานจำนวนกะละประมาณ สามพันกว่าคน ต้องเดินทางมาขึ้นรถรับส่ง ซึ่งทางบริษัทฯจัดให้บริการแก่พนักงาน เพื่อมาทำงาน

“รถคันที่ชน หนีไปครับพี่ แต่ป้ายทะเบียน กท.ตกอยู่ที่เกิดเหตุครับ” วิชัยบอกต่อ คงเป็นโชคร้ายของเขา แต่ก็เป็นโชคดีในโชคร้ายของเด็กเราแว๊บหนึ่งผมคิดแบบนั้น

“อ้อ เหรอ แล้วตำรวจหละเจอเขาแล้ว ยัง เขาว่าไง บ้าง” ผมถามต่อ

“ตำรวจ บอกว่า เขาจะตรวจสอบดูเลขทะเบียน พรุ่งนี้คงรู้ผล ครับ” วิชัย ตอบผม

เวลาตอนนั้น ราว สี่ ทุ่มกว่าๆ “คงเป็นเด็กกะดึก ที่กำลังเตรียมตัว ไปทำงาน” ผมคิดต่อ เรามักเรียกพนักงานรายวันทั่วๆไปในบริษัทฯว่าเด็ก ทั้งๆที่บางคน มีครอบครัว และมีลูกเรียนถึงชั้นมัธยมแล้วก็ตาม

“เอาอย่างนี้ ก็แล้วกัน วิชัยช่วยโทรฯบอกณรงค์ ให้ตามเรื่องประกันสังคม และการประกันชีวิตของเขาที่บริษัทฯทำให้ด้วย และช่วยนัดญาติเด็กเขามาพบผมพรุ่งนี้” “เอ้อ แล้ว อย่า ลืม ให้ ณรงค์ เบิกค่าจัดงานศพ จากบริษัทฯเตรียมไว้ให้ด้วยนะ” ผมสั่งวิชัยให้ส่งเรื่องต่อให้แก่ณรงค์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลที่รับผิดชอบเรื่องงานกรณีพนักงานเสียชีวิต ก่อนจบบทสนทนาลงว่า “แล้วพรุ่งนี้ ค่อยว่ากันอีกที”

แม้ทุกอย่างจะทำไป เหมือนโดยอัตโนมัติ แต่ความรู้สึกเศร้าๆ ก็คุกคามจิตใจโดยที่ตัดไม่ได้สักทีเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ การนัดญาติมาพบเป็นการทำจนเป็นปกติวิสัยเมื่อพนักงานเสียชีวิตไม่ว่าจากกรณีใดๆก็ตาม เพื่อจะได้แจ้งให้เขาทราบว่าบริษัทฯจะช่วยอะไรเขาบ้าง และจะมีเงินทำศพก้อนแรกที่เขาสามารถรับไปได้เลย เพื่อนำไปใช้ก่อนทั้งนี้ เพราะขั้นตอน ในการเบิกเงินก้อนใหญ่ จากประกันสังคมและจากประกันชีวิตจริงๆ ซึ่งมักจะต้องใช้เวลาพอสมควร และส่วนใหญ่กว่าจะเรียบร้อยก็มักจะเป็นช่วงเมื่อได้จัดการงานศพไปเรียบร้อยแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้นผมเดินทางเข้าไปทำงานที่บริษัทฯตามปกติ
“พี่ ตำรวจ นัดสามีของเด็กและฝ่ายคู่กรณีไปพบที่ป้อมตำรวจ ที่ กม. 15 ตอน 10 โมง เช้า เขาขอให้เราไปด้วย ผมจะไปนะพี่” ณรงค์ ผู้รับผิดชอบกะกลางวันต่อจากวิชัยเข้ามารายงานแต่เช้า เขายังบอกต่อไปอีกว่าเขาเองต้องไปเคลียร์ที่โรงพยาบาล ให้เรียบร้อยก่อน เพราะมีบางอย่างต้องจัดการ การจัดการเรื่องการเซ็นต์เอกสารต่างๆตามพรบ.ประกันภัยจากรถที่เรียกกันสั้นๆว่า พรบ.นั้น ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน โรงพยาบาลจึงจะอนุญาตให้นำเอาศพออกมาได้ เรื่องแบบนี้ คนทำงานอย่างผมนั้นเข้าใจดี เพราะหากมีปัญหาใดๆขลุกขลักเกิดขึ้นจะทำให้ญาติคนตายจะยิ่งรู้สึกเหมือนถูกซ้ำเติมความเจ็บปวด ข่มขื่น จากความโชคร้ายอยู่แล้วให้มากขึ้น โดยไม่จำเป็น และยิ่งมาจากการเซ็นต์เอกสารรับรองจากบริษัทเราและคู่กรณีไม่เรียบร้อย จนทำให้ไม่สามารถนำศพออกจากโรงพยาบาลได้ ยิ่งแล้วใหญ่

“อือ ดี ณรงค์ ไปโรงพยาบาล จัดการให้เสร็จ แล้วเดี๋ยวพี่จะตามไปพบตำรวจด้วย ตอนนี้ขอเคลียร์งานนิดหน่อยก่อน แล้วอย่าลืมเบิกค่าทำศพไปเลยนะญาติเขาไม่ต้อง เข้ามาที่โรงงานอีก” ผมย้ำไม่อยากให้ญาติเขาเสียเวลา เทียวกลับไปกลับมา เพราะเขาคงกังวลใจกับเรื่องอื่นๆมากอยู่แล้ว

“ตำรวจเขารู้รถยนตร์ที่ชนเด็กแล้วครับ” ณรงค์บอกต่อ พร้อมเอ่ยชื่อบริษัทฯที่ผลิตของเล่นเด็กในนิคมอุตสาหกรรมบางพลีซึ่งเป็นเจ้าของรถ คนขับรถเป็นเพียงพนักงานขับรถของบริษัทที่ว่า เมื่อผมไปถึงป้อมตำรวจ ณรงค์ สามีของเด็ก และคู่กรณีคุยรอกันอยู่ก่อนแล้ว ทางฝ่ายคู่กรณีมากันสองคน เป็นทนายความคนหนึ่งกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลอีกคนหนึ่ง

ผมรีบขอเข้าพบเพื่อคุยหารือกับตำรวจเจ้าของคดีเป็นเบื้องต้นก่อนหน้านั้นแล้ว จึงออกมาทักทาย ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของคู่กรณี
“พี่จะเอาอย่างไร ครับ”ผมรีบถามผู้จัดการฝ่ายบุคคลคู่กรณีในฐานะที่ทำงานอาชีพเดียวกัน และเคยเจอกันมาก่อนในการประชุมเกี่ยวกับงานบุคคลมาก่อนบ้างแล้ว

“ผมว่าจะให้ทางเด็กผม จ่ายค่าทำขวัญสัก แปดหมื่น บาท” เขาตอบผมมา ผมเองอยากต่อรองเพื่อให้ครอบครัวเด็กได้เงินให้มากที่สุดขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องพยายามปกป้องคนของเขา ขณะที่บริษัททั้งสองฝ่ายก็ไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้อเกินไป พนักงานของเขาก็เป็นเพียงพนักงานขับรถธรรมดา เงินแปดหมื่นก็คงมากพอสมควรสำหรับเงินเดือนพนักงานขับรถ ผมเองแม้คิดว่าเงินก้อนที่เขาเสนอมาอาจจะน้อยไป และถึงอย่างไร ก็ไม่สามารถทดแทนชีวิตที่เสียไปได้ แต่ดูแล้วอาจจะยากที่จะต่อรองให้ได้มากขึ้นกว่านี้ ผมจึงหันไปถามสามีของเด็ก ว่าคิดอย่างไร

“แล้วแต่ผู้จัดการจะเห็นสมควรก็แล้วกัน ครับ” เขาตอบมาเบาๆ ผมมองแววตาของเขาแล้ว เข้าใจว่าเขาคงอยากให้เรื่องจบๆไป เพื่อเขาจะได้นำ ศพของภรรยาอันเป็นที่รักกลับบ้านเกิดของเธอให้เร็วที่สุด เพื่อประกอบพิธีกรรมตามประเพณีแก่ร่างผู้เป็นที่รักครั้งสุดท้าย

ชีวิตนี้ บางทีการพลัดพราก แม้เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น หากแต่…ถ้ามันมาถึงเร็ว เกินเป็นใครก็ยากจะทำใจ และแน่นอนสำหรับเขา ในยามทุกข์ …เคราะห์กรรม คงเหมือนช่างประเดประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน

“ถ้าอย่างนั้น ก็เข้าไปคุยกับ ตำรวจ ด้วยกัน ก็แล้วกัน” ผมบอกเขาด้วยเสียงลึกๆ พยายามกดก้อนบางอย่างในลำคอไว้อย่างยากเย็น
และเมื่อทุกคน เห็นตรงกัน ทุกอย่างก็จบอย่างลงตัวได้ผมหันมาถาม ณรงค์ ว่าเรื่องที่โรงพยาบาล เรียบร้อยไหม

“เรียบร้อยครับ สามารถรับศพออกมาได้เลย” ณรงค์ตอบ

“แล้วจะไปทำพิธี ที่ไหน” ผมถามต่อ “บุรีรัมย์ครับ รถมูลนิธิฯจะไปส่งเราต้องจ่ายค่าใช้จ่ายให้เขาบ้าง เขาจะไปส่งถึงที่เลย ครับ”สามีเด็กตอบเสียงเศร้าๆ ก่อนแยกย้ายกล่าวลาต่อกัน สามีของเด็กเดินเข้ามาหาผมกับณรงค์ พร้อมบอกว่า“ผมต้องรีบไป หละ ครับ จะได้ถึงบ้านไม่ดึกมากนัก”
ผมมอบเงินค่าทำศพจากบริษัทฯพร้อมฝากเงินทำบุญส่วนตัวไปอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมบอกเขาว่าทางฝ่ายผลิตคงจะมีตัวแทนไปร่วมงานศพภรรยาเขา สุดท้ายก็ย้ำให้ ณรงค์ตามเขาไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูทุกอย่างให้เรียบร้อยอีกครั้ง

สามีเด็กเข้ามายกมือไหว้ลาและกล่าวขอบคุณผม อีกครั้ง ผมมองเห็นน้ำคลอๆอยู่ในสองตาของเขา ขณะเอ่ยคำ ขอบคุณ นั้น ผมรู้สึกได้ว่าเขาหมายถึงอย่างนั้น จริงๆ

ผมรู้สึกอีกครั้ง ณ วินาทีนั้น เหมือนทุกครั้งที่ได้ทำเรื่องแบบนี้ ผมแอบมีความสุขอยู่ลึกๆเมื่อจัดการเรื่องต่างๆจบลง ผมไม่ได้หมายถึงความรู้สึกที่มาจากการที่ผมได้ทำหน้าที่ที่บริษัทฯกำหนดให้ทำ สำเร็จด้วยดี ….หรอก ครับ

ทว่า ผมหมายถึง ความรู้สึกที่เกิดมาจากการที่รู้สึกว่าได้ทำอะไรบางอย่างให้กับผู้ที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ชะตากรรมของชีวิต คนทำงานในโรงงานและบริษัทฯ โดยเดินทางจากบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด เพื่อมาแสวงหาอนาคตในเมืองกรุง เหมือนกันนั้น ต่างหากละครับ ….ที่ผมหมายถึง
.
………….

หากไม่มี”คนเข้าใจ”…ในวันนั้น..??

แม้วันนั้นจะนานมากแล้ว แต่สำหรับผมแล้วมันเหมือน เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อวานนี้เอง

เช้า วันนั้น ในฐานะเด็ก ที่จบ ม.ศ. 5 มาสองปีแล้ว ผมจึงไม่มีชุดนักเรียนใส่ไปสอบ สัมภาษณ์ แต่ก็พยายามแต่งชุดที่ดูว่าเรียบร้อยที่สุด ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็รีบออกจากที่พักย่านฝั่งธน แล้วรีบไปแต่เช้า เพื่อไปสอบสัมภาษณ์พร้อมกับความครึ้มใจ ว่าผ่านการสัมภาษณ์วันนี้แล้ว ซิหนอเราก็จะได้เข้าเรียน ในคณะฯและมหาวิทยาลัย ที่สามารถทำให้ทางบ้านได้ภาคภูมิใจอีกครั้ง หลังจากที่ต้องทำให้ท่านทั้งสอง พ่อ และ แม่ ต้องช้ำใจ อย่างหนักหนาสาหัส เมื่อหกเดือน ที่ผ่านมา

ไปถึงมหาวิทยาลัยและไปดูคิวสอบสัมภาษณ์ของเรา อยู่ที่10:00 น. ตอนนั้นเพิ่ง 8 นาฬิกากว่าๆ ก็เลยเดินดูไปทั่วๆบริเวณคณะที่สอบติดมา ความภูมิใจก็ยิ่งมีมากขึ้น เมื่อเดินชมทั่วไป ไม่ใช่เพราะสอบเข้าได้ คณะนี้หรอกแต่เป็นเพราะว่าได้คิดและได้ทำสิ่งที่ถูก….เป็นครั้งแรกในช่วงเวลานี้ หลังจากที่ทำผิด ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก มามากต่อมาก หลายต่อหลายครั้ง ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ต่างหาก…เล่าครับ

จากการสอบผ่าน ม.ศ. 5 สายวิทยาศาสตร์ด้วยคะแนนร้อยละ 50.00 ซึ่งเพื่อนๆแซวว่า อาจารย์เขาคงปัดคะแนนให้ผ่าน ทั้งที่จริงแล้วคะแนนจริงๆอาจจะตกแบบเฉียดฉิวซะด้วยซ้ำ

จบ ม.ศ. ปีแรก ไม่ได้เตรียมตัวไม่ได้สมัครสอบเอ็นทร้านส์ เพราะคิดว่าอย่างไรก็คงสอบ ตก ม.ศ. 5 แน่ๆ แต่ผมคาดคะเนผิดไปนิดหนึ่ง เลยต้องว่างเสีย 1 ปี จะว่าว่างเสียทีเดียวก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะอันที่จริงแล้วผมได้ระเห็จลงไปเป็นคนงานสวนยางพาร ที่อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เสียหลายเดือนก่อนจะกลับขึ้นมาสอบเอ็นทร้านส์ ตอนปลายปีคราวนี้สอบติดคณะวิศวกรรมของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง เรียนได้เพียง 1 เทอมก็ถูกอัปเปหิออกมาเพราะสอบได้เกรดไม่ถึง 1 ปกติในสมัยนั้นถ้าเกรดไม่ถึง 2 จะติดโปรฯไม่ใช่ “โปรเฟสชั่นนัล”นะครับ “โปรเบชั่น”นะ แต่ของผมได้ไม่ถึง 1 สถาบันฯก็เลยเชิญออก เพราะเขากลัวว่าจะเสียเวลาทั้งผม บรรดาอาจารย์ และสถาบันฯพูดเล่นนะครับ อันที่จริงแล้วกฎเขาเป็นอย่างนั้นเอง ก็จะไม่ให้ได้เกรดแค่นั้นได้อย่างไรละครับก็ทั้งเทอม ผมเอา แต่เมาหัวราน้ำบางวันเข้านั่งไปเรียนช่วงสายๆ ยังไม่สร่างเมาดีเลยครับ

เดินคิดเดินดูบริเวณเพลินๆพอไกล้เวลานัด จึงเดินกลับมาที่ตึกที่ทางคณะฯจัดสัมภาษณ์ ปรากฏว่ารออีกพักหนึ่งก็ถึงคิวผม “นายวีรพันธ์เข้าห้องสอบสัมภาษณ์ที่ 3 นะคะ” เจ้าหน้าที่บอกผมหลังจากตรวจสอบเอกสารต่างๆเรียบร้อยแล้ว ผมเข้าไปในห้องสอบสัมภาษณ์ เห็นอาจารย์สองท่านเป็นกรรมการสอบนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมยกมือไหว้อย่างที่คิดว่าเรียบร้อยที่สุด นั่งซี กรรมการท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งชี้ให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าของท่านทั้งสองโดยมีโต๊ะขั้นอยู่ตรงกลาง

กรรมการถามคำถามไม่กี่คำถาม ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าท่านถามว่าอะไรบ้างก่อนจะถึงคำถามสุดท้าย ที่อาจารย์เอ่ยเปรยขึ้นและถามว่า

อ้อ ได้คะแนนร้อยละ 50.00 และจบมาสองปีแล้ว ไปทำอะไรอยู่เหรอ

มีปัญหาส่วนตัว ครับ เลยหยุดเรียน ไปทำงาน ผม พยายามตอบเลี่ยงๆไป

อ้อ เอาอย่างนี้นะ …วีรพันธ์ออกไปก่อน แล้วกลับมาสอบใหม่ตอน 5 โมงเย็นวันนี้ อีกครั้งนะ

ครับ ผมรับคำมือเท้าเย็นเฉียบ หัวใจหล่นวูบเหมือนตกลงไปในถังน้ำแข็ง

ผมยกมือไหว้ลาอาจารย์ทั้งสองท่าน แล้วเดินออกมาอย่างเหม่อลอยคิดแต่ว่าคงมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับการสัมภาษณ์ของตนเองแน่นอน เพียงแต่ไม่ทราบว่าปัญหาอะไรเท่านั้นเอง

ผม..จะทำอย่างไร..ดี คำถามที่ประเดประดังเข้ามาในหัว ดังเหมือนก้อนหินหนักหลายตัน กดทับลงบนหัวใจของผม..แสนจะหนัก…อึ้ง…ผมจะทำอย่างไร ผมจะทำอย่างไรๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…ดี

ผมเดินเกร่ไป….เกร่มา…..อยู่แถวหน้าตึกที่สอบสัมภาษณ์ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบและก็สังเกตุว่า…นักเรียนที่มาสอบสัมภาษณ์ คนอื่นๆพอเขาสอบเสร็จก็กลับบ้านไปเลยทุกคน ขณะที่ผมเดินไปเดินมาก็พอดีได้พบเด็กที่รู้จักคนหนึ่งซึ่งสอบติดคณะเดียวกับผมแต่คนละแผนก ผมเคยพบเขาหลายครั้งเพราะเป็นคนจังหวัดเดียวกันกับผม ผมรีบเดินเข้าไปทักทายเขา อย่างใจชื่นขึ้นมาหน่อย ว่าอย่างน้อยก็พอมีคนรู้จักให้อุ่นใจ แม้จะรู้ว่าเขาคงจะช่วยอะไรผมไม่ได้ก็ตามที

ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอเห็นสอบเสร็จตั้งนานแล้ว เขาถามขึ้นอย่างสงสัย

ของเราอาจารย์ เขานัดให้มาสอบอีกครั้งตอน 5 โมงเย็น ของนายไม่ต้องกลับมาสอบอีกครั้ง เหรอผมถามเขาโดยนำเสียงที่ปิดแวววิตกกังวลไว้ไม่มิด

ไม่เห็นมี นี่ แล้วนายจะต้องรอจนเย็นละซี”เขาตอบพลางถามผมต่อ

อื้อ..คงงั้น..แหละมั๊งผมตอบ

งั้นเราไปก่อนนะ โชคดีนะเพื่อน

เออ..ขอบใจ ..นะ.

เพื่อนจากไปแล้ว….ผมนั่งคอตกอยู่บนม้าหินคนเดียว….เด็กนักเรียนที่มารอสอบสัมภาษณ์ คอยๆทยอยสอบและทยอยกลับไปเรื่อยๆจนเหลือน้อยลงๆทุกที

ณ.วินาทีนั้นผมเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ในโลกใบนี้ไม่รู้จะปรึกษาใคร…..กับคำถามว่าเราจะทำอย่างไรดี

พ่อและแม่..คงไม่ต้องพูดถึงเพราะผมตัดขาดการติดต่อกับทางบ้าน หลังจากวันถูกรีไทร์ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า และถูกพ่อเทศน์เสียกัณฑ์..ใหญ่.. และในปี พ.ศ.นั้นการติดต่อทางโทรศัพท์ระหว่างกรุงเทพฯกับบ้านผมในต่างจังหวัดนั้นทำไม่ได้เลย เพราะบ้านผมยังไม่มีโทรศัพท์ใช้เลย

เพื่อนของน้าชาย ที่เคยมาพักอาศัยกับเขาเมื่อมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ ระยะหลังก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน หลังจากผมตัดสินใจออกมาหาที่อยู่ใหม่หลังจากจบ ม.ศ. 5 และลงไปทำงานทางภาคใต้ เมื่อกลับขึ้นมาผมก็ระเหเร่ร่อนเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนบ้างเช่าหอพักอยู่บ้าง

ในบางวาบ..ของความคิด…ผมรู้สึก…กลัว…กังวล..ใจ…อย่างมากผมจะตอบกรรมการ

ว่าอย่างไร…หากกรรมการเขาไม่พอใจอาจให้ผมตกสัมภาษณ์..เท่าที่ผมทราบมาบ้างคนสอบตกสัมภาษณ์ มีน้อยมาก…และมันคงเป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆเท่านั้น..ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลใจ ผมอยากสอบให้ได้…ผมอยากเอาความสำเร็จจากการสอบเข้าเรียนที่นี่ได้ นำไปลบความผิดหวังของพ่อและแม่..นั่นคือความหวังลึกๆว่าอยากจะทำสิ่งที่ถูก..ให้ท่านภูมิใจ ได้บ้าง…

เพราะผมได้ยินเพื่อนที่ไปเยี่ยมบ้านกลับมาเล่าให้ฟังว่าพ่อไปเที่ยวเล่าใครต่อใคร อย่างภาคภูมิใจตอนที่ผมสอบเข้าเรียนที่ฯเทคโนฯลาดกระบังได้และต่อมาเมื่อผมถูกรีไทร์ พ่อผมก็หายหน้าหายตาไปจากวงสนทนาเพราะไม่อยากตอบคำถามของเพื่อนๆเกี่ยวกับเรื่องที่ผมถูกให้ออกจากสถาบันนั้นว่าจริงหรือไม่และถูกให้ออกเพราะเหตุอะไร เฮ้อ…เรา…หนอ…เรา….

ผมคิดวนไปเวียนมา บางช่วงขณะ..ผมอยากหนีไปให้พ้นจากสภาพที่ต้องเผชิญหน้าอยู่ ผมเพียงลืมความหวังทุกอย่างเสีย หนีไปอยู่ที่ไหนไกลๆ แล้วหางานทำยังไงเสียผมก็ไม่ได้สนใจอนาคตของตัวเองมากเท่าไรอยู่แล้ว.นี่ และด้วยความรู้ ที่จบชั้น ม.ศ. 5 ผมคงจะพอหาเลี้ยงชีพได้ไม่อดตาย ละมั๊ง….

เพียงแต่ไม่สามารถทำให้พ่อแม่สมหวังอย่างตั้งใจ

จะเป็นไรไปเล่า…ถ้าจะต้องทำให้ท่านผิดหวังอีกสักครั้งเหมือนที่ได้ทำให้ท่านผิดหวังมามากต่อมากแล้ว..ในระยะที่ผ่านๆมา…เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่ทราบว่าตอนนั้นผมอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่เสียด้วย ซ้ำไป..

คะแนน 50.00 สอบติดคณะที่เด็กที่สอบติดส่วนใหญ่จากทางสายศิลป์ก็ติดบอร์ด 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้น ถ้ามาจากสายวิทย์ก็70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นเป็นส่วนใหญ่กรรมการท่านคงคิดว่าผมทุจริตการสอบก็ได้ หรืออาจคิดไปอย่างอื่นๆได้อีกหลายแง่…

ไม่มีอะไรดีที่สุดเท่ากับการพูดความจริง….เล่าทุกอย่างตามความจริงผมคิดตกและตัดสินใจได้หลังจากคิดทบทวนกลับไปกลับมาอยู่หลายชั่วโมง..กลัวและกังวลมากจนหายกลัวหายกังวล…… สอบได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว..ไม่ใช่หรือ..ทำให้ดีที่สุด บอกกรรมการไปตามความจริงที่เหลือ..ให้เป็นเรื่องของท่านเหล่านั้นพิจารณา…. เมื่อคิดตกตัดสินใจได้..ผมก็สบายใจขึ้นมากและพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์

เมื่อจิตใจสงบลงผมเริ่มพบว่านอกจากผมแล้ว ขณะที่ผู้มาสอบสัมภาษณ์คนอื่นๆทะยอย กลับกันไปเกือบหมดยกเว้นผม ก็ยังมีนักเรียนที่สอบติดข้อเขียนอีกหนึ่งคนจากสุโขทัย ชัยพรคือชื่อของเขา เราสองคนจึงนั่งปรับทุกข์กัน รอเวลานัดสอบตอนเย็นที่จะมาถึง ตกมาตอนนี้ผมกลับเป็นฝ่ายให้กำลังใจเขา..เสียอีกด้วยซ้ำไป

เพราะสำหรับผมนั้นพอจะเดาสาเหตุได้เลาๆ….ว่าทำใมกรรมการท่านถึงเรียกผมสอบสัมภาษณ์อีกครั้งและผมได้คิดตกแล้วว่า จะเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร.. ขณะที่ชัยพรเอง เขายังไม่ทราบว่าปัญหาของเขาเกิดเพราะอะไรทำใมอาจารย์ถึงเรียกเขาสอบอีกครั้ง ผมมาทราบภายหลังว่าเขามีปัญหาบุคลิกภาพบางอย่าง กรรมการจึงไม่มั่นใจว่าเขาจะเรียนได้

เมื่อเวลา 5 โมงเย็นมาถึงหลังจากกรรมการสอบสัมภาษณ์ ผู้สอบติดข้อเขียนทุกคนได้สอบเสร็จสิ้นหมดทุกคนแล้ว ผมก็เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตามที่กรรมการท่านนัดไว้

อ้อ…นาย วีรพันธ์ เหรอ เข้าไปซิ กรรมการท่านรออยู่แล้วเจ้าหน้าที่คนเดียวกับคนเมื่อเช้าบอก หน้าเธอเหมือนกังวลแทนผม…อยู่บ้าง…คงจะสงสารมั๊ง ผมคิดเอาเองว่าเธอคงรู้สถานการณ์บางอย่างที่ผมไม่รู้ ห้องที่ผมไปสัมภาษณ์ตอนนี้เป็นคนละห้องกับที่สอบเมื่อตอนเช้า ผมเคาะประตูก่อนเปิดประตูเข้าไปหลังจากได้ยินเสียงอนุญาต

ผมเดินเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ก็พบว่าห้องสัมภาษณ์ตอนนี้มีอาจารย์นั่งอยู่ทั้งหมดสิบท่าน ผมเข้าใจว่ากรรมการทุกคณะที่แบ่งกันสัมภาษณ์คณะละสองท่านเมื่อตอนเช้าคงจะมารวมกันทั้งหมดเพราะต้องตัดสินใจเรื่องที่สำคัญบางอย่าง….แต่เมื่อใจผมสงบเสียแล้วสภาพดังกล่าวนั้นจึงไม่ทำให้ผมกังวลใจใดๆเลย

ผมยกมือไหว้กรรมการทุกท่านอีกครั้งก่อนนั่งลงตรงหน้าของกรรมการทั้งสิบท่านที่นั่งรายล้อมผม..เป็นรูปครึ่งวงกลม เมื่อได้รับคำบอกให้นั่ง

“วีรพันธ์…มีอะไรจะพูดกับกรรมการก็พูดมาตามความจริงทั้งหมดได้เลยนะ” กรรมการท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น หากเป็นก่อนหน้านั้นมือผมคงเย็นเยียบใจคงเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ตอนนั้นใจผมสงบลงมากแล้ว..มากเสียจนกรรมการบางท่านอาจจะแปลกใจ

ครับ…ผม..จะเล่าความจริง ให้ทุกท่านทราบ…ครับ

อาจารย์ทุกท่านครับ ผมเกิดในต่างจังหวัด มีคุณพ่อคุณแม่เป็นครูประชาบาลชั้นผู้น้อย..คุณพ่อคุณแม่ผมมีลูกทั้งหมดเจ็ดคนครับ ครอบครัวเราจึงมีความลำบากทางการเงินพอสมควร แต่คุณพ่อคุณแม่ผมท่านก็พยายามกระเหม็ดกระแหม่เงินเดือนที่ได้รับค่อนข้างน้อยเพื่อรวบรวมส่งให้ผมและน้องๆเรียน โดยหวังจะให้ลูกๆได้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่ท่านจะทำให้ลูกๆได้..เพราะท่านบอกผมและน้องๆอยู่เสมอๆว่านอกจากการศึกษาแล้วท่านก็ไม่มีสมบัติมีค่าอื่นใดจะให้อีก..ในวัยเด็กผมเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านเกิด ผลการเรียนก็ดีพอสมควร ต่อมาเมื่อย้ายเข้ามาพักกับน้าชายเพื่อสะดวกในการเข้าเรียนในชั้นที่สูงขึ้นในตัวเมืองของอีกจังหวัดหนึ่ง ผลการเรียนของผมในช่วงประถมจนถึงมัธยมต้นก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี สอบได้ก็ไม่เคยต่ำกว่า ร้อยละ 80 เลย ดังนั้นหากเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันก็อยู่ในอันดับ 1-5 มาตลอด …..เมื่อจบชั้นมัธยมต้นผมก็เดินทางเข้ามาเรียนมัธยมปลายในกรุงเทพฯ ความอิสสระของชีวิตในกรุง..ประกอบกับการย่างเข้าสู่วัยรุ่นทำให้ผมเริ่มเกเร ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หนีเรียนจนจบ ม.ศ. 5 ด้วยคะแนนร้อยละ50.00 จนไม่สามารถสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ในปีแรก ในปีที่สองแม้จะสอบเข้าเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าได้ แต่ผมก็ยังไม่ได้สำนึกเอาแต่กินเหล้าเมายาจนต้องถูกรีไทร์ ตั้งแต่เทอมแรก…เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น…ผมมาคิดทบทวนดูแล้ว..เห็นว่าชีวิตผมที่ผ่านมาช่างไร้สาระสิ้นดีไม่เพียงทำลายอนาคตของตัวเองหากยังทำลายความหวังของพ่อและแม่..รวมทั้งคนอื่นๆที่รักผมด้วย

อาจารย์ทุกท่าน..ครับ…จากวันที่ผมเริ่ม..คิดได้…ผมเลิกดื่มเหล้า ผมนั่งอ่านแต่หนังสืออ่าน อ่านแล้วก็อ่าน ในหกเดือนนี้ผมแทบไม่ได้ไปไหนเลยครับ…หนึ่งนั้น..เพราะผมไม่มีเงินเนื่องจากผมไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านมา 5-6 เดือนแล้ว ผมอาศัยอยู่กับเพื่อนดังนั้นนอกจากกินข้าวกับพวกเขาพักที่หอของเขาโดยไม่ต้องจ่ายเงินช่วยแล้ว ผมก็ไม่อยากรบกวนเพื่อนๆในเรื่องอื่นๆอีก..แม้เขาจะเต็มใจช่วยเหลือผม รวมทั้งยินดีจ่ายเงินเลี้ยงผมก็ตาม…อีกอย่างหนึ่งผมอยากอ่านหนังสือเพื่อให้มั่นใจว่าผมจะสามารถสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่แห่งนี้ตามที่เลือกไว้หลายคณะ จะได้ลบความผิดหวังที่ผมสร้างขึ้นในใจของพ่อกับแม่ผม…ซึ่งทำให้หลังจากที่ทำข้อสอบสอบแล้วผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมทำข้อสอบได้ดีกว่าทุกครั้ง ที่ผมเคยสอบมาครับ…ทั้งหมดนี้คือความจริงที่ผมอยากจะเรียนอาจารย์ทั้งหลายครับ ผมหยุดการตอบอย่างยืดยาวลงและรู้สึกโล่งใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอกเพราะรู้สึกว่าผมได้ทำหน้าที่ของตนเองจบลงแล้ว

แต่ก็น่าแปลกใจนะครับ ในขณะที่ผมตอบแบบร่ายยาวอยู่นั้นไม่มีอาจารย์ท่านใดขัดจังหวะผมเลยและไม่มีใครถามอะไรผมอีก

เธอออกไปรอข้างนอกก่อนนะแล้วไปพบอาจารย์ที่ห้องอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวขึ้น..ผมมาทราบชื่อท่านภายหลังว่าท่านชื่ออาจารย์พรรณี ประจวบเหมาะ ท่านเป็นอาจารย์ฝ่ายกิจการนิสิตของคณะฯ

ผมลาอาจารย์ทุกท่านและออกมานั่งรออยู่อย่างสงบ ที่หน้าห้องสอบสัมภาษณ์..สักพักก็เห็นอาจารย์ทุกท่านค่อยๆทะยอยกันออกมาจนท่านสุดท้าย คืออาจารย์พรรณี ท่านเรียกผมไปนั่งคุยที่โต๊ะทำงานของท่าน ก่อนจะมอบแบบฟอร์มให้ผมชุดหนึ่งเป็นแบบฟอร์มขอทุนจากคณะฯ

เอาไปกรอกให้เรียบร้อย แล้วเอามายื่นให้อาจารย์วันที่มามอบตัว ณ.วินาทีนั้นผมคิดว่าว่าผมทำสำเร็จแล้ว เมื่อผมพูดทุกอย่างตามความจริง ความจริงก็ช่วยผมและอาจารย์ทุกท่านพร้อมที่จะฟังความจริงและพร้อมที่จะให้โอกาสให้ผมได้ทำสิ่ง…ที่ถูก…สักครั้งเพื่อผมจะได้ทำสิ่งที่ถูกครั้งต่อๆไป….ไม่ใช่เพื่อตัวผมหากเพื่อพ่อและแม่และทุกคนที่รักผม

หากไม่มีความเข้าใจจากอาจารย์ทั้งสิบท่านในวันนั้น…..แม้ว่าในตอนเริ่มต้น ผมคิดว่า อาจารย์หลายท่านอาจสงสัยกระทั่งบางท่านอาจจะเข้าใจไปแล้วก็ได้ ว่าผมทุจริตในการ สอบเพราะเหตุการณ์มันสามารถชวนให้เชื่อและคิดอย่างนั้นได้จริงๆเสียด้วย เพียงแต่ทุกท่านให้โอกาส..ผมชี้แจงและรับฟังผมพูด..อย่าง ค่อน ข้างยาว ดังผมว่าไป

ผมเล่าเรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการอะไรหรอกครับ นอกจาก..อยากให้เป็นอุธาหรณ์ให้กำลังใจ และเป็นบทเรียนสำหรับบางคน โดยเฉพาะเด็กๆวัยรุ่นที่เคยทำผิดมา ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก…หากเธอต้องการจะทำสิ่งที่ถูกสักครั้ง..ก็จงทำเถอะนะ….ทำด้วยความจริงใจ..ในโลกนี้..บางครั้งสำหรับคนแบบพวกเราแล้ว..บางเวลาแม้จะเหมือนอยู่ตัวคนเดียว แต่เชื่อเถิด ครับว่า….ถ้าคิดว่าอยากทำสิ่งที่ถูกสักครั้ง..แม้อาจไม่สำคัญในสายตาผู้ใดเลย…แต่มันก็จะสำคัญมากเสมอสำหรับคนที่รักเรา..และเชื่อเถิดว่าหากเราตั้งใจและเริ่มลงมือทำอย่างจริงจังและจริงใจ แม้จะมีความระแวงในตัวเราอยู่บ้างจากบางคน..ก็อย่าหวั่นไหว..เพราะสุดท้ายก็จะมีคนเข้าใจและจะคอยให้โอกาส..แก่เราอยู่เสมอ

เรื่องนี้..อาจไม่มีสาระและประโยชน์มากนัก..หรือแทบไม่มีประโยชน์เลย สำหรับทุกท่านที่ทำทุกสิ่งหรือส่วนใหญ่อย่างถูกต้องและทำดีอยู่แล้ว..ครับ…แต่หากจะมีประโยชน์ บ้าง..แม้เล็กน้อย..สำหรับบางคน ผมก็พอใจแล้วครับที่ได้เขียนมาเล่าให้ฟัง

……………………………………………………

อาจารย์ยังไม่กลับบ้าน เหรอคะ เสียงแม่บ้านทักทาย..ทำให้ผมตื่นจากภวังค์

จะรับกาแฟ อีกหรือเปล่า คะ. เธอถามอย่างมีน้ำใจ…

อ้อ..ไม่ละครับ…ผมกำลังจะเก็บของกลับบ้านอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว..หละ ครับ..ตามสบายนะครับ ผมตอบกลับไป..เพราะรู้ว่าเธอต้องไปดูความเรียบร้อยๆตามจุดอื่นๆอีก…เพราะตอนนี้ก็ 2 ทุ่มกว่าแล้ว…

หากไม่มีบางคนเข้าใจในวันนั้น ผมก็ไม่ทราบว่าวันนี้…ผมจะเป็นเช่นไร…ขอบคุณครับ..อาจารย์..คณะกรรมการสอบสัมภาษณ์ในวันนั้นที่เข้าใจและให้โอกาส…..แก่ผมและทำให้ผมได้มีวันนี้…..ขอบคุณอีกครั้ง ครับ